ต้องชิคแค่ไหน คนดังถึงพัก! 10 ที่พักหัวหินสุดป๊อบของเหล่าเซเลป

“หัวหิน” ชื่อนี้คลาสสิคเสมอ ไปบ่อยแค่ไหนก็ไม่เคยเบื่อ เหล่าคนดังก็เหมือนกัน ต่างก็เลือกหัวหินเป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิต เที่ยวง่าย ไปได้ตลอด แล้วเวลาพวกเค้าเหล่านั้นเที่ยวหัวหิน เขาพักที่ไหนกันบ้างนะ เดี๋ยวเราจะพาไปดู เผื่อเพื่อนๆสายฮิป สายทราเวล ได้เป็นไอเดียสำหรับปล่อยของ ปลดปล่อยอินเนอร์ในตัวเรา ได้รูปสวยๆลงโซเชียล

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝บาบา บีช คลับ หัวหิน❞

ทริปนี้ขอเป็นเซเลปสักทีที่ “บาบา บีช หัวหิน” ไม่ว่าจะย่างกรายไปทางไหน ที่พักก็มีแต่มุมชิคๆให้แชะภาพ แล้วแต่ละมุมคือเรียกว่าตามรอยซุปตาร์ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น “ชมพู่อารยา” , ศรีริต้า เจนเซ่น, วุ้นเส้น-วิริฒิพา, คิมเบอร์ลี่ปิ่นเก็จ-มณี, ปราง กัญญ์ณรัณ และอีกมากมาย ที่แวะเวียนพักผ่อนอยู่หลายครั้ง

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28445

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท❞

โรงแรม 5 ดาว เครืออินเตอร์แบบนี้ ใครจะไม่อยากมาพักจริงมะ “อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน” ดึงดูดเหล่าคนดังในทุกวงการ ทั้งดาราไทย ดาราอินเตอร์ ไฮโซ และนักกีฬา เรียกว่าเป็นที่พักแรกๆที่ต้องนึกถึงหากมาเที่ยวหัวหินเลยหล่ะจ้ะ ทั้ง Gray นักร้องเกาหลี, เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ, บอย พีซเมคเกอร์ ฯลฯ

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28477

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝ช็อกโกแล็ต บ็อกซ์ หัวหิน❞

ที่พักขวัญใจเหล่า Hipster คือเป็นอะไรที่แบบว่าถ้าจะมองหาสไตล์ ไม่ต้องไปหาที่ไหน มาได้ที่นี่เลย “ช็อกโกแลต บ็อกซ์ หัวหิน” ชื่อนี้สื่อถึงความเซอร์ไพรส์เหมือนในหนังเรื่อง forest gump ที่บอกว่า ชีวิตก็เหมือนช็อกโกแลตในกล่อง ที่เปิดออกมาเราไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไรบ้าง เหมือนที่นี่เลย มาถึงเราก็ต้องเซอร์ไพรส์กับอะไรหลายๆอย่าง เริ่มตั้งแต่ welcome drink และสถาปัตยกรรมที่เรามองว่ายังไงก็ไม่มีวัน out และก็คงตรงใจกับเหล่าคนดังหลายๆคน เพราะเค้าเหล่านั้นขยันมาเยือน “ช็อกโกแลต บ็อกซ์ หัวหิน” ตั้งแต่ตอนเปิดแรกๆ จนถึงตอนนี้ก็มากันไม่ขาดสาย

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28387

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝พุทธรักษา หัวหิน❞

สัมผัส Lifestyle แบบ Unique เรียบง่าย แต่เต็มเปี่ยมด้วยสไตล์แบบ minimal “พุทธรักษา หัวหิน” เป็นที่พักที่ตอบโจทย์วันพักผ่อนแสนสงบ ท่ามกลางธรรมชาติ แบบคลีนๆ ถ้าเปรียบกับอาหารก็คงเหมือนได้ทานอาหารออร์แกนิค คือชีวิตดีแบบสงบ ไร้ซึ่งความยุ่งยากวุ่นวาย และนี่ไงล่ะคือเหตุผลที่เหล่าคนดังชอบมาพัก “พุทธรักษา” และอีกหนึ่งความประทับใจคือเรื่องดีไซน์และการออกแบบที่ลงตัว ไม่มากไม่น้อย เป็นความพอดีที่น่าดึงดูด

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28459

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝เอซ ออฟ หัวหิน รีสอร์ท❞

ใครล่ะจะไม่อยากมาทะเลหากท้องฟ้าไม่เป็นสีฟ้า และที่นี่ก็สมบูรณ์แบบด้วยธีมสีน้ำเงินเข้ม และขาว ให้อารมณ์วันพักผ่อนที่แสนสดใส “เอซ ออฟ หัวหิน รีสอร์ท” โอ่อ่า ทันสมัย ดีไซน์สวยเฉียบ เพียงแรกมาถึงก็ทำตื่นตาตื่นใจไปกับกำแพงสีน้ำเงินเข้ม ประตูไม้บานมหึมาเหมือนจะเปิดต้อนรับสู่วันพักผ่อนที่เปี่ยมสีสัน “เอซ ออฟ หัวหิน รีสอร์ท” มักได้ต้อนรับแขกคนดังเสมอๆ

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28491

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝ไมด้า เดอ ซี หัวหิน❞

พักผ่อนสบายๆในราคาที่แสนสบายด้วย “ไมด้า เดอ ซี หัวหิน” โดนใจหลากหลายกลุ่ม ตัวเลือกห้องพักก็มีให้เลือกหลากหลาย มีตั้งแต่ ดีลักซ์ ดูเพล็กซ์ ไปจนถึง พูล วิลล่า และนี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ “ไมด้า เดอ ซี หัวหิน” เป็นอีก 1 โรงแรม Hot ในหัวหิน มาดูกันว่าใครมาเยือนกันบ้าง

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28475

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝เชอราตัน หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา❞

หนึ่งแบรนด์โรงแรมเครือใหญ่ ระดับอินเตอร์ สิ่งนี้ย่อมการันตีได้ถึงความฮอต ความฮิต ความดีงามทุกสิ่งอย่างที่จะได้รับในวันพักผ่อน ด้วยเหตุนี้แหละ “เชอราตัน หัวหิน” จึงป๊อบเสมอๆ

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28397

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝เดอ เจ้าจอม หัวหิน❞

ที่พักชิคๆ สำหรับคนชอบถ่ายรูป อินเนอร์ฮิปสเตอร์ ดารา บล็อกเกอร์ งัดมาหมดเมื่อได้มาที่นี่ “เดอ เจ้าจอม หัวหิน” ที่พักริมทะเลใจกลางหัวหิน เหมาะสำหรับคนหาอยากได้ที่พักสงบๆ หลบคนวุ่นวายๆ มีทั้งห้องพักแบบพูล วิลล่า บ้านพักหลังใหญ่ขนาด 4 ห้องนอน และวิลล่าสไตล์วินเทจคลาสสิคขนาด 1 ห้องนอน

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28418

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝ฮาเว่น รีสอร์ท หัวหิน❞

สถานที่พักผ่อนเงียบสงบบนหาดส่วนตัว “ฮาเว่น รีสอร์ท หัวหิน” ที่พักในชะอำที่ให้ฟีลสบายๆ สระว่ายน้ำเป็นเอกลักษณ์ ห้องพักบนตึกมองเห็นวิวทะเลทุกห้อง ส่วนวิลล่าก็ดีงาม เป็นทั้ง pool acess และ beachfront ไปมากี่ครั้งก็ประทับใจทุกครั้งจ้า

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28515

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

❝ซันไชน์พาราไดซ์ รีสอร์ท❞

ไม่ได้อยู่ในหัวหิน แต่ความเริ่ดของเค้าทำเอาเราอยากมาบอก ว่าไปเถอะ จะชอบแน่นอน ด้วยบรรยากาศเงียบสงบ สบายๆ ติดทะเลทับสะแก มีที่เที่ยว unseen สวยๆเยอะแยะอยู่ใกล้ๆรีสอร์ท อย่างวัดทางสาย พระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ น้ำตกห้วยยาง และหาดวนกร นอกจากบรรยากาศดีแล้ว ความเป็นส่วนตัวก็เยี่ยมมากๆ คือพูลวิลล่าแต่ละหลังมีที่จอดรถส่วนตัว หรือหากเป็นห้องพักแบบ cottage ก็มีที่จอดรถใกล้ๆ ส่วนตัวแบบนี้ใครๆก็ชอบใช่ไหมล่ะ

☺อ่านรีวิวฉบับเต็ม Click ⇝ http://hotelandresortthailand.com/read/?p=28360

🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚 🐚

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

นอนหรู ริมทะเลอันดามัน มีมุมอาร์ตๆปั๊วะๆให้ถ่ายรูปตรึม! ที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” จ.ภูเก็ต

เที่ยวใต้ทั้งทีก็ต้องไปภูเก็ต เด็ดกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ ได้สัมผัสทั้งทะเลอันดามันสวยๆ หาดทรายขาวๆ แถมยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลกด้วย ครบเครื่องสุดๆก็ต้องได้มาพักหาดป่าตอง ดินแดนอันเลื่องชื่อที่มากไปด้วยสีสันพร้อมความสนุกสนาน อีกทั้งยังมีธรรมชาติสวยๆ และชายหาดที่ทอดยาวสุดๆ แต่หากอยากพักหรูๆ นอนชิลริมทะเล ฟูลออฟชั่นเกินบรรยายแล้วล่ะก็ แนะนำมาพักที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” จ.ภูเก็ต ที่พักสุดอาร์ต ติดหาด อยากให้เป็นทริปวันหยุดสุดประทับใจ เหมือนได้มาพักเที่ยวอยู่สวรรค์บนดิน ก็ต้องมาสัมผัสที่นี่ให้ได้สักครั้งค่ะ!

“บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” ตั้งอยู่บริเวณทางเหนือสุดของหาดป่าตอง ที่นี่ได้รับการออกแบบด้วยการผสมผสานระหว่างงานศิลปะชั้นเยี่ยม เข้ากับการดีไซน์ในรูปแบบทันสมัยของทรงเลขาคณิต และถึงแม้ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” จะใกล้กับหาดป่าตองซึ่งเป็นชายหาดที่ขึ้นชื่อเรื่องแสงสีเสียง แต่บรรยากาศภายในที่พักเงียบสงบเป็นธรรมชาติมากๆ

ห้องพักที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” มีทั้งหมด 123 ห้อง ให้เลือก 6 แบบ เริ่มต้นด้วย

ห้อง B-LAY Deluxe Room ขนาดห้อง 40 ตรม. พร้อมระเบียงห้องส่วนตัว

ห้อง B-LAY Pool Access ขนาดห้อง 40 ตรม. สามารถเดินลงสระน้ำได้จากระเบียงห้องพักเลยค่ะ

ห้อง B-LAY Jacuzzi Suite ขนาดห้อง 54 ตรม. สำหรับคู่ฮันนีมูนต้องเป็นปลื้ม เพราะมีอ่างจากุซซี่ริมระเบียง พร้อมวิวทะเลสวยๆ

ห้อง B-LAY Corner Suite ขนาดห้อง 60 ตรม. แบ่งเป็นห้องนอน และห้องนั่งเล่นออกเป็นสัดส่วน สามารถมองวิวทะเลได้จากปลายเตียง ภายในห้องน้ำยังมีอ่างแช่ฟินๆอีกด้วย

ห้อง B-LAY Premier Jacuzzi Suite ขนาดห้อง 80 ตรม. ภายในกว้างขวาง แบ่งสัดส่วนชัดเจน ไฮไลท์ของห้องนี้จะอยู่ที่อ่างจากุซซี่ริมระเบียง ได้เห็นวิวสุดอลังการแบบไร้สิ่งบดบัง

ห้อง B-LAY Presidential Suite ห้องที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ ขนาดห้อง 145 ตรม. เป็นห้องที่มองเห็นทะเลในมุมกว้างจากห้องนอน ห้องน้ำ สระจากุซซี่ส่วนตัวทั้งกลางแจ้งและในร่ม ห้องนั่งเล่นมีโซฟาขนาดยาวสวยหรูหรา และเรียกว่าเป็นห้องที่ได้รับวิวทะเลแบบ 360 องศาเลยค่ะ

ห้องพักทุกแบบที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์น หรูหรา ทันสมัย เฟอร์นิเจอร์ชั้นเยี่ยม และพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจัดเต็มค่ะ

นอกจากนี้แล้วที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” ยังมีห้องอาหารสุดหรู สปาผ่อนคลายครบวงจร บาร์เก๋ๆ ฟิตเนสอุปกรณ์ใหม่เอี่ยม ห้องอ่านหนังสือ และมุมพักผ่อนส่วนตัว รวมไปถึงกิจกรรมริมหาดมันส์ๆ บอกเลยว่าฟูลออฟชั่นของจริงค่ะ

จุดเด่น “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” นอกจากทำเลที่ตั้งที่เรียกว่าเป็นทำเลทองอยู่ริมหาดป่าตองแล้ว และความสวยสะท้านฟ้า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของที่พักแล้ว ที่นี่ก็ยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายค่ะ ที่เป็นจุดขายเลยคือสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อลังการมหึมางานสร้างแบบ ‘อินฟินิตี้ซีทรู’ ผนังสระทำจากกระจกใสบานใหญ่ สามารถมองเห็นวิวสวยได้แบบไร้ขอบเขต ให้คุณได้เพลิดเพลินกับการว่ายน้ำไม่รู้เบื่อเลยค่ะ หรือจะนั่งอาบแดดบ่มผิวแทนชิลๆ แชะรูปเก๋ๆริมสระ ก็ฟินเวอออร์จ้า ย้ำเลยนะคะว่าคุณไม่ควรพลาดที่จะมานอนพักหรูๆ เปิดประสบการณ์การพักผ่อนแบบใหม่ให้กับตัวคุณเอง ที่ “บี-เลย์ ตอง บีช รีสอร์ท” จ.ภูเก็ต รับรองมาแล้วก็อยากจะมาซ้ำๆอีกแน่นอนค่ะ

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ ที่ตั้ง: 198 ถ.ทวีวงศ์ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต 83150
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 07-634-4999
❀ อีเมลล์: rsvn@b-laytong.com
❀ เว็บไซต์: www.b-laytong.com
❀ เฟสบุ๊ค: B-Lay Tong Phuket
❀ อินสตาแกรม: blaytong

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

เที่ยวแบบหรอยๆ หาดใหญ่-สงขลา กับ 10 ที่เที่ยวใครไปก็ต้องแวะ

“นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้” นี่แหละคำขวัญประจำจังหวัดสงขลา ถ้าได้ไปเที่ยวจริงๆ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมากมาย มีธรรมชาติที่สวยงาม ล้อมรอบไปด้วยทะเลและภูเขา คนส่วนมากนิยมมาเที่ยวในจังหวัดสงขลา เพราะขึ้นชื่อได้ว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเอง ถือเป็นเสน่ห์ของจังหวัดสงขลาเลยหล่ะ สำหรับใครๆที่สนใจจะไปเที่ยว เราคัด 10 ที่เที่ยวเน้นๆ ที่ใครมาสงขลาก็ต้องแวะ ตามไปอ่านกันเลย..

สวนสาธารณะหาดใหญ่

“สวนสาธารณะหาดใหญ่” สถานที่พักผ่อนหย่อนใจสุดฮิตอันดับต้นๆ ของคนหาดใหญ่ และนักท่องเที่ยวโดยทั่วไป ด้วยเนื้อที่ที่มากกว่า 914 ไร่ ดัดแปลงภูเขาทั้งลูกมาเป็นสวนสาธารณะเลยก็ว่าได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีอะไรดีๆซ่อนอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ไม่น้อย เริ่มด้วยขึ้นไปสักการะ พระพุทธมงคลมหาราช, ท้าวมหาพรหม และองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ที่ประดิษฐานอยู่บนเขาคอหงส์ พร้อมชมพระอาทิตย์ตกจากมุมที่สามารถมองเห็นเมืองหาดใหญ่ได้ทั้งเมือง

ต่อด้วยไฮไลท์ ที่ใครๆมาก็ต้องลองนั่ง คือ การนั่งเคเบิลคาร์ ค่าบัตร 100 บาท / คน ระหว่างทางได้ชมวิวรอบเมืองหาดใหญ่และทะเลสาบสงขลา เมื่อได้ข้ามไปอีกฝั่ง เราก็จะได้สักการะเจ้าแม่กวนอิม และเทพเจ้าจีนอีกด้วย

ตลาดน้ำคลองแห

“ตลาดน้ำคลองแห” ตั้งอยู่ที่ท่าน้ำวัดคลองแห ตำบลคลองแห เลยตัวเมืองหาดใหญ่ไปเล็กน้อย จำลองวิถีชีวิตดั้งเดิมคือการค้าขายทางน้ำของชาวบ้านคลองแห มีเรือพายหลายลำพายมาจอดเรียงรายนำสินค้ามาขาย และมีร้านค้าที่ริมฝั่งมากมายให้เดินเลือกชมอย่างเพลิดเพลิน ทั้งอาหารไทยพื้นบ้านหลากหลาย อาหารมุสลิม รวมทั้งผลไม้ และสินค้าพื้นเมืองนานาชนิด ภาชนะที่ใส่อาหารใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น ใบตอง กะลา กระบอกไม้ไผ่ หม้อดินเผา เป็นตลาดน้ำเชิงวัฒนธรรมแห่งแรกและแห่งเดียวของภาคใต้ ผสมผสานระหว่างตลาดที่จำหน่ายสินค้าในเรือ และตลาดโบราณจำหน่ายสินค้าบนบก

ตลาดน้ำคลองแห เปิดตลาดในวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์ ตั้งแต่เวลาประมาณ 16.00 – 20.00 น.

น้ำตกโตนงาช้าง

“น้ำตกโตนงาช้าง” เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง เป็นน้ำตกที่สวยแห่งหนึ่งของภาคใต้ เหมาะกับการพักผ่อนมาก สามารถสัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ สายน้ำที่เย็นฉ่ำ น้ำสะอาดมาก มีปลาแหวกว่ายสวยงาม สามารถเล่นน้ำตกได้ชั้นที่ 1 น้ำตกจะไหลมาจากยอดเขา น้ำไม่ค่อยลึก เหมาะสำหรับพาเด็กๆเป็นเล่นน้ำ ที่สำคัญมีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างทั่วถึงรับรองความปลอดภัย และยังมีร้านค้าสวัสดิการไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย

เกาะยอ

“เกาะยอ” ตั้งอยู่ที่ บ้านท้ายเสาะ ตำบล เกาะยอ อำเภอเมืองสงขลา เป็นเกาะที่โอบล้อมด้วยทะเลสาบสงขลา มีธรรมชาติที่สวยงาม มีจุดชมวิวทะเลสาบ มีอาหารทะเลที่สดใหม่ และยังมีที่พักให้นักท่องเที่ยวได้พักด้วย นอกจากนี้บริเวณท้ายเกาะจากทางเข้าสะพานติณสูลานนท์ สามารถชมวิวเมืองใหญ่ 2 ทะเล คือ ทะเลใน (ทะเลสาบสงขลา) และทะเลนอก (ทะเลอ่าวไทย) ถ้าใครมาเที่ยวสงขลา อย่าลืมแวะเที่ยวเกาะยอ ไปถ่ายรูป กินอาหารทะเลสดๆ นั่งคาเฟ่จิบกาแฟชมวิว รับรองไม่ผิดหวังแน่นอน

ย่านเมืองเก่าสงขลา

“ย่านเมืองเก่า จ.สงขลา” มีอายุยืนยาวกว่า 200 ปี โดยดูได้จากความเก่าแก่ของตึก อาคาร และบ้านเรือน ย่านเมืองเก่านี้มีถนนที่สำคัญด้วยกัน 3 สาย คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ถนนทั้ง 3 สายนี้มีเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมจีน สถาปัตยกรรมชิโนยูโรเปียน สถาปัตยกรรมผสม และสถาปัตยกรรมร่วมสมัย มีการเล่าเรื่องราวจิตรกรรมผ่านฝาผนังของอาคารและบ้านเรือน เพื่อสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรม การดำเนินชีวิตของคนในท้องถิ่น และเพื่อเป็นสถานที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม

“ย่านเมืองเก่า จ.สงขลา” ยังมีอาหารการกินที่หลากหลาย ทั้งอาหารคาวหวาน อาหารไทย อาหารจีน ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้าน สุกี้ยากี้นครใน ข้าวสตูเกียดฟั่ง ก๋วยเตี๋ยวหางหมู ก๋วยเตี๋ยวใต้โรงงิ้ว โรตีนางงาม ไอติมโอ่ง ขนมไข่เตาถ่าน คือมีหลากหลายร้านให้เลือกซื้อ เลือกชิมอย่างมากจริงๆ

ถนนคนเดินสงขลาแต่แรก

“ถนนคนเดินสงขลาแต่แรก” จัดขึ้นทุกวันศุกร์ และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.00 – 22.00 น. ตั้งอยู่ริมกำแพงเมืองสงขลา ช่วงแรกของถนนคนเดินจะพบร้านของกินเยอะแยะมากมาย และสามารถขึ้นไปชมบ้านเกิดของ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เป็นบ้านไม้ยกสูงโบราณเก่าแก่ ที่ยังคงมีข้าวของเครื่องใช้ให้ได้ชม บริเวณลานตรงหน้าบ้านจะมีเวทีแสดงดนตรี มีชาวบ้านบริเวณนั้นร้องเพลง ฟังแล้วเพลิดเพลินมากๆ พอเข้ามาถึงโซนริมกำแพงเมืองเก่า ก็จะพบกับสินค้าแฮนด์เมด เสื้อผ้า และสินค้าทั่วไป นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่ต้องแวะเลย

เขาตังกวน

“เขาตังกวน” ตั้งอยู่ในเขตเมืองสงขลา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 150 เมตร บนยอดเขาตังกวนเป็นที่ประดิษฐานโบราณสำคัญ ประกอบด้วย พระธาตุเจดีย์หลวง ศาลาพระวิหารแดง ประภาคาร และประภาคารฟารอสจำลอง อีกทั้งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้สักการะบูชา ดังนี้ หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด พระสยามเทวาธิราช พระพรหม 4 หน้า รัชกาลที่ 5 องค์พระพุทธชินราช สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พระปรมาจารย์ทองเฒ่า และยังเป็นจุดสูงสุดในการชมวิวเมืองสงขลาแบบพาราโนมา 360 องศา อีกด้วย

ศาลาพระวิหารแดง

“ศาลาพระวิหารแดง” ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของยอดเขาตังกวน ศาลาถูกสร้างแบบสถาปัตยกรรมแนวยุโรป ก่อด้วยอิฐไม่ฉาบปูน ทาด้วยสีแดงทั้งหลัง ภายในศาลาเป็นโถงใหญ่ มีช่องลมตลอดทั้ง 4 ทิศ หน้าศาลาพระวิหารแดงหันหน้าออกสู่ทะเล สามารถมองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบ และเขาแดงได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปวิวสวยๆ

หาดสมิหลา

“หาดสมิหลา” ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของชายทะเลเมืองสงขลา มีปฏิมากรรมรูปนางเงือกนั่งอยู่บนโขดหิน รูปปั้น“นางเงือกทอง” สัญลักษณ์อันโดดเด่นของจังหวัดสงขลาตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมสมิหลา นักท่องเที่ยวนิยมจะไปถ่ายภาพคู่กับนาเงือกกันเสมอ บรรยากาศโดยรอบของชายหาดเงียบสงบ ทะเลสีฟ้าคราม ทรายขาวละเอียด มีชายหาดต่อเนื่อง เหมาะสำหรับมาพักผ่อนชมวิว สามารถเล่นน้ำทะเลได้ น้ำไม่ลึกมาก เป็นชายหาดที่ไม่ลาดชัน และจะมีเจ้าหน้าที่รักษาการณ์จากเทศบาลเมืองสงขลาคอยดูแลรักษาความปลอดภัยอยู่ตลอด

ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ

“ประติมากรรมพญานาคพ่นน้ำ” ถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของจังหวัดสงขลาที่ทางเทศบาลนครสงขลาสร้างขึ้น คือส่วนของเศียรพญานาคพ่นน้ำอยู่บริเวณปากทะเลสาบสงขลา โดยพญานาคนี้มีให้เห็น 3 ส่วน นอกจากเศียรแล้วอีก 2 ส่วน คือส่วนกลางลำตัวที่สระบัวกึ่งกลางระหว่างหาดสมิหลากับแหลมสนอ่อน และส่วนหางอยู่ที่หาดสมิหลาฝั่งถนนชลาทัศน์ เรียกได้ว่าตัวยาวเชื่อม 2 ทะเลเลยทีเดียว คือทะเลสาบสงขลากับทะเลหลวง จนถึงปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างแวะเวียนมาถ่ายรูป และกราบไหว้อย่างไม่ขาดสาย จนกลายเป็นหนึ่งในจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดสงขลา

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

10 ตำนานคาดไม่ถึง ของสถานที่เที่ยวสุดฮิตในเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมพื้นเมืองหลากหลาย และประเพณีท้องถิ่นที่สะท้อนให้เห็นถึงเสน่ห์มากมายค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาปัตยกรรม ศิลปะวัฒนธรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หลายครั้งที่เรามีโอกาสได้ไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจของเชียงใหม่ พร้อมกับการได้ฟังตำนานเล่าขานของสถานที่นั้นๆ วันนี้ Hotelandresort ขอย้อนอดีตเล่า 10 ตำนานคาดไม่ถึง ของสถานที่เที่ยวสุดฮิตในเชียงใหม่ จะมีที่ไหนบ้างนั้น…ตามมาอ่านกันจ้า

1.ดอยหลวงเชียงดาว 

เปิดตำนานอันลึกลับที่แรกกันด้วย ดอยหลวงเชียงดาว เป็นภาษาล้านนา มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ดอยอ่างสลุงเชียงดาว” อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เป็นดอยที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทยรองจากดอยอินทนนท์ และดอยผ้าห่มปก ดอยหลวงเชียงดาว” เป็นเขาหินปูนอายุราวๆ 230-250 ล้านปี เกิดจากการทับถมของตะกอนของสิ่งมีชีวิตจากทะเล เช่นปะการังและหอย แสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เคยเป็นท้องทะเลมาก่อนในอดีตกาล

ตามตำนานเล่าต่อกันมาของ “ดอยหลวงเชียงดาว” อ้างอิงมาจากตำนานพระเจ้าเลียบโลกว่า..สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยเสด็จมาสรงน้ำ ณ ดอยแห่งนี้ โบราณจึงเรียกสถานที่ดังกล่าวว่า “อ่างสรง” ออกเสียงว่า “อ่างสะหรง” แล้วเพี้ยนกลายมาเป็น “อ่างสลุง” ซึ่งภาษาล้านนาแปลว่าขันน้ำใบใหญ่ และจากคำทำนายของพระพุทธองค์ซึ่งกล่าวเอาไว้ว่า “ดอยแห่งนี้สูงนัก สูงเพียงเดือนเพียงดาว ภายหน้าจักเกิดเมืองชื่อเมือง เพียงดาว” ซึ่งต่อมาภายหลังเพี้ยนเสียงมาเป็น “เชียงดาว” ดังปรากฏในปัจจุบัน

และยังมีตำนานอันยิ่งใหญ่ของ “ดอยหลวงเชียงดาว” อีกตำนานหนึ่งคือตำนาน “เจ้าสุวัณณะคำแดง” ตำนานนี้มีเนื้อหาเชื่อมโยงกับเมืองเชียงใหม่อย่างชัดเจน เนื่องจากกล่าวถึง “เจ้าหลวงคำแดง” ผู้เป็นเทพเจ้าอารักษ์เมืองเชียงใหม่มาแต่อดีตกาล ด้วยในสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล คนทั้งหลายไม่มีศีลธรรมส่งกลิ่นเหม็นไปถึงพรหมโลก ร้อนถึงพระอินทร์ต้องลงมาดูแลความประพฤติของมนุษย์ แต่พระอินทร์ต้องการให้มนุษย์สั่งสอนกันเอง จึงเลือกเอาเจ้าสุวัณณะคำแดง หรือเจ้าหลวงคำแดง ผู้มีนิวาสถานอยู่ทางทิศเหนือมาจัดการสร้างเมืองล้านนา และสั่งสอนให้ผู้คนให้อยู่ในศีลในธรรม รักษาศีลห้าศีลแปด แต่เมื่อเจ้าหลวงคำแดงสิ้นชีพ วิญญาณของเจ้าหลวงได้สถิต ณ “ดอยหลวงเชียงดาว” และมีฐานะเป็นอารักษ์ใหญ่ เป็นประมุขแห่งบรรดาผีทั้งหลายในล้านนา “ดอยหลวงเชียงดาว” จึงมีความสำคัญยิ่งต่อเมืองเชียงใหม่ในหลายๆด้านค่ะ

แถมยังมีถ้ำเชียงดาว ที่คนโบราณเชื่อว่ามีสิ่งของล้ำค่าที่สุดอยู่ในถ้ำ ซึ่งก็มีเจ้าสุวัณณะคำแดงเป็นผู้ปกปักดูแลรักษา ตำนานเหล่านี้จึงทำให้ “ดอยหลวงเชียงดาว” เป็นดอยศักดิ์สิทธิ์ของคนล้านนามานมนามจนถึงปัจจุบันค่ะ
ที่อยู่ : อุทยานแห่งชาติเชียงดาว ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
เบอร์ติดต่อ : 053 455 802, 089 955 1417

❀❀❀❀❀❀❀❀

2.กาดเมืองผี 

“กาดเมืองผี” ในปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ บริเวณโดยรวมอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้นานาชนิด “กาดเมืองผี” เป็นหินปูนสูงประมาณ 6 เมตร เป็นเเหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติที่สมบูรณ์มากๆ

ภาพจาก : chaiprakan.chiangmai.doae.go.th

ลักษณะของหน้าผาจะเป็นดินทราย มีเสาหินทรายรูปร่างคล้ายกับดอกเห็ด หรือเสาปราสาทโรมัน เป็นประตูเมืองเก่า ซึ่งก็เเล้วเเต่มุมมองของเเต่ละคนค่ะ และคาดว่าน่าจะอยู่ในยุคเดียวกับแพะเมืองผีที่จังหวัดแพร่ เเต่ “กาดเมืองผี” จะมีพื้นที่กว้างขวางกว่ามากๆ สวยงามวิจิตรอลังการ และยิ่งใหญ่กว่าค่ะ

ภาพจาก : foursquare.com

คำว่า “กาด” หมายถึงตลาด “เมืองผี” หมายถึงความเชื่อที่มีมาแต่โบราณที่เร้นลับแล้วเล่าสืบทอดกันมา กาดเมืองผี” ตั้งอยู่ในเขตป่าชุมชนบ้านทรายขาว หมู่ 7 ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ห่างจากที่ว่าการอำเภอไชยปราการ 5 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ 96 ไร่ มีสภาพเป็นที่ราบลอนคลื่น สูงต่ำไม่สม่ำเสมอกัน

ภาพจาก : foursquare.com

มีตำนานเร้นลับที่เล่าสืบต่อกันมาว่า แต่ก่อนป่าบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีพันธุ์ไม้ใหญ่ขึ้นอยู่เต็มพื้นที่ และมีสัตว์ป่าน้อยใหญ่จำนวนมาก ในสมัยนั้นมีชาวบ้านเข้าไปหาของป่าเป็นอาหาร แต่หลงป่าหาทางกลับออกมาไม่ได้ จนเดินมาเรื่อยๆจนมาเจอกับเมืองหนึ่ง ที่มีผู้คนมากมายกำลังทำการจับจ่ายใช้สอยกันอยู่ ชาวบ้านเหล่านั้นจึงนำของป่าไปเเลกเปลี่ยน เเละซื้อหาของมาด้วยเช่นกัน เเต่เมื่อเดินออกมาจากป่าได้ก็ปรากฏว่าข้าวของที่ได้มาจากตลาดเเห่งนั้นเป็นเพียงใบไม้ ก้อนหินเท่านั้นค่ะ กระทั่งทุกวันนี้หากวันดีคืนดีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง “กาดเมืองผี” จะได้ยินเสียงตีระฆัง ตีฆ้อง ดังกังวาน ยิ่งหากเป็นวันพระหรือคืนวันเพ็ญ จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจาก “กาดเมืองผี” จึงเป็นที่มาของตำนานแห่ง “กาดเมืองผี” ค่ะ

 

♥ ที่อยู่ : บ้านทรายขาว ตำบลศรีดงเย็น อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่
♥ เบอร์ติดต่อ : 053 248 604, 053 248 607

❀❀❀❀❀❀❀❀

3.ม่อนอังเกตุ 

“ม่อนอังเกตุ” ยอดดอยสูงจากระดับน้ำทะเลที่ 1,840 เมตร อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าปางขุม บ้านปางขุม อำเภอสะเมิง เป็นต้นกำเนิดของลำน้ำสำคัญ 4 สาย คือ ขุนน้ำสา ขุนน้ำเลย ขุนน้ำแม่สาบ และขุนน้ำแม่จุม ไหลรวมสู่แม่น้ำปิง จาก “ม่อนอังเกตุ” มองเห็นผืนป่าฝั่งอำเภอปาย จ.แม่ฮ่องสอน อำเภอแม่แจ่ม อำเภอแม่แตง ห้วยจ้อ ห้วยน้ำดัง ดอยหลวงเชียงดาว และดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ด้วย

ภาพจาก : www.chiangmainews.co.th

ตามตำนานเล่าว่า ม่อนอังเกตุ เกี่ยวเนื่องกับ “ศาลเจ้าแม่อังเกตุ” ว่ามีแม่นางท่านหนึ่งนามว่า “อังเกตุ” เป็นหญิงชั้นสูงในวัง มีพระบิดาเป็น “พ่อพญา” ที่มีนิสัยชอบทำลาย เกลียดชัง “พญาต่อ” จึงกลายเป็นศัตรูกันมาตลอด “พญาต่อ” ล่วงรู้ว่า“พ่อพญา” รักแม่นางอังเกตุลูกสาวคนนี้สุดหัวใจ จึงคิดอุบายไปคาบแม่นางออกจากวัง แล้วนำมาทิ้งไว้ที่ม่อนแห่งหนึ่งบนท้องที่อำเภอสะเมิง “พ่อพญา” ออกตามหาจนเจอลูกสาว หมายจะรับลูกสาวกลับเวียงวัง แต่แม่นาง “อังเกตุ” ไม่ยอมกลับ และได้บอก“พ่อพญา” ว่าจะขออยู่ใช้กรรมให้หมดสิ้นบนดอยนี้

ภาพจาก : www.thaihrhub.com

ด้วยความรักลูกสาว “พ่อพญา” จึงจัดส่งช้าง เสือ แม่นม และองครักษ์คู่ใจเพื่อมาดูแลลูกสาว แต่สุดท้ายแม่นางกำชับว่าหากสิ้นบุญแล้ว ก็ให้ฝังร่างของนางไว้ที่นี่ เมื่อถึงคราวสิ้นบุญร่างของแม่นางจึงถูกฝังไว้บนม่อนแห่งนี้ตามปรารถนา ชาวบ้านท้องถิ่นจึงได้นำชื่อของ “แม่นางอังเกตุ” มาตั้งเป็นชื่อม่อน นามว่า ม่อนอังเกตุ พร้อมกันนั้นก็ได้สร้างศาลเจ้าแม่อังเกตุไว้เพื่อเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านตราบจนกระทั่งปัจจุบัน

ภาพจาก : doipangkhum.blogspot.com

บน “ม่อนอังเกตุ” จะเป็นลานกว้างและเป็นที่ตั้ง “ศาลเจ้าแม่อังเกตุ” สามารถชมวิวธรรมชาติสวยๆได้ครบแบบ 360 องศา และยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ชมทะเลหมอก ท่ามกลางทิวสนในฤดูหนาวยามเช้า ชมวิวขุนเขาสลับซับซ้อนในช่วงบ่าย และดื่มด่ำวิวพระอาทิตย์ตกยามเย็นได้อย่างสวยงามค่ะ

❀❀❀❀❀❀❀❀

4.เวียงกุมกาม 

“เวียงกุมกาม” เมืองโบราณอายุกว่า 727 ปี เป็นเมืองที่ “พญาเม็งราย” กษัตริย์แห่งโยนกนครได้สถาปนาให้เป็นเมืองหลวงแห่งแรกของล้านนา แต่ เวียงกุมกาม ก็เป็นเมืองหลวงได้ไม่นานประมาณ 12 ปี เพราะประสบปัญหาน้ำท่วมทุกปี พญามังรายจึงโปรดให้สร้าง “นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ซึ่งมีชัยภูมิที่ดีกว่า เป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ แต่ เวียงกุมกาม ก็ไม่สิ้นความสำคัญด้วยเป็นเมืองบริวารที่มีความใกล้ชิดกับเวียงเชียงใหม่ จนถึงสิ้นราชวงค์มังราย

หลังจากนั้น “เวียงกุมกาม” ล่มสลายลง เพราะถูกน้ำท่วมครั้งใหญ่ น้ำไหลบากเอาดินโคลนจากแม่น้ำปิงมาทับถมเมืองนี้ ทำให้ “เวียงกุมกาม” ถูกฝังจมใต้ตะกอนดินจนยากจะฟื้นฟูเป็นเวลาถึง 700 กว่าปี ประกอบกับอุทกภัยครั้งนั้น แม่น้ำปิงได้เปลี่ยนร่องน้ำไม่ไหลผ่านเวียงกุมกามดังเคย เวียงกุมกาม จึงถูกทิ้งร้างอยู่ใต้ตะกอนดินมานับร้อยๆปี และชื่อของ เวียงกุมกาม ก็ได้เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์ จนเชื่อกันว่า เวียงกุมกาม เป็นเพียงเมืองในตำนาน

จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2527 หน่วยศิลปากรที่ 4 ได้ขุดแต่งวิหารกานโถม ณ วัดช้างค้ำ ซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญแห่งหนึ่งใน “เวียงกุมกาม” ทำให้เรื่องราวของ “เมืองในตำนาน” แห่งนี้ปรากฏเป็นเรื่องขึ้น และจากการศึกษาค้นคว้าของนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ ทำให้เชื่อได้แน่นอนว่าโบราณสถานในเขตท้องที่หมู่ที่ 11 ตำบลท่าวังตาล อำเภอสารภี ซึ่งห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เพียง 5 กิโลเมตรนั้น ก็คือ เวียงกุมกาม หรือ “เวียงเก่า”

ภายใน “เวียงกุมกาม”  มีจุดท่องเที่ยวทั้งหมด  10 จุด (รวมศูนย์ข้อมูลเวียงกุมกาม)

วัดกู่ป้าด้อม อยู่นอกเขตกุมกามติดแนวคูเมือง กำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ ประกอบด้วยวิหารเจดีย์ แท่นบูชา 2 แท่นล้อมรอบด้วยแนวกำแพงแก้ว อยู่ต่ำกว่าระดับผิวดินปัจจุบันถึง 2 เมตร วัดนี้น่าจะก่อสร้างขึ้นในระยะที่พญามังรายประทับอยู่ที่เวียงกุมกาม ระหว่างปี พ.ศ.1835-1839 และคงสภาพเป็นวัดอยู่เรื่อยมา ซึ่งปรากฏร่องรอยการฉาบผิวนอกของสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ด้วยปูนขาวมากที่สุดในบรรดาวัดร้างของเวียงกุมกาม และยังพบหลักฐานการก่อกำแพงแก้วของวัดที่สมบูรณ์ที่สุด สถานที่ก่อสร้างประกอบด้วย เจดีย์ ประธาน วิหาร แท่นบูชา ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว

ภาพจาก : www.flickr.com/photos

วัดช้างค้ำ (กานโถม) พญามังรายโปรดให้สร้างวัดกานโถมขึ้นในราวปี พ.ศ.1833 ประกอบด้วยฐานเจดีย์ กว้าง 12 เมตร สูง 18 เมตร ทำซุ้มคูหาสี่ทิศ ใช้พระพุทธรูปซ้อนเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างไว้พระพุทธรูป 4 องค์ ชั้นบนไว้พระพุทธรูปยืนองค์หนึ่ง มีรูปอัครสาวกโมคคัลลาน์ สารีบุตรและพระอินทร์ รูปนางธรณีไว้สำหรับพระพุทธรูปด้วย นอกจากนี้ ในบริเวณวัดกานโถมยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ที่ได้อัญเชิญเมล็ดจากเมืองลังกาใน ครั้งโบราณ และหลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญนอกจากพบพระพิมพ์ดินเผาสกุลช่างหริภุญไชย จำนวนหนึ่ง แล้วยังพบจารึกหินทรายสีแดงเป็นอักษรมอญ อักษรที่มีลักษณะระหว่างอักษรมอญกับอักษรไทย และอักษรสุโขทัยและฝักขามรุ่นแรกภายในวัดกานโถมมีต้นโพธิ์เก่าแก่และพระพุทธรูปซึ่งเป็นที่เคารพสักการะ มีหอพญามังรายซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนในละแวกนั้นมาแต่โบราณ

วัดอีค่าง อยู่ติดกับแนวคูน้ำคันดินด้านตะวันตกของเวียง อยู่ลึกลงไปในผิวดิน ประมาณ 2 เมตร ประกอบด้วยวิหารและเจดีย์ตั้งอยู่บนฐานเดียวกัน เป็นแบบล้านนาเต็มตัว เจดีย์อีก้างนี้ จึงอยู่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 ในรัชสมัยของพระเจ้าเมืองแก้ว ประมาณ พ.ศ.2060

วัดหนานช้าง โบราณสถานข้างหน้านี้เป็นตัวอย่างที่บ่งบอกร่องรอยของอุทกภัยที่มีผลต่อ เวียงกุมกามในอดีตกาล ชั้นตะกอนทรายและชั้นดินที่ทับถมหนาถึง 1.80 เมตร วัดหนานช้างเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เกียรติแก่ บรรพบุรุษของเจ้าของที่ดิน ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ วัดนี้หันหน้าไปทางทิศเหนือ ต่างจากวัดส่วนใหญ่ที่หันหน้าไปทางทิศตะวันออก อาจเพราะสร้างเพื่อหันหน้าไปสู่เส้นทางสัญจรทางน้ำที่เรียกว่า “ปิงห่าง”

วัดปู่เปี้ย ตั้งอยู่บริเวณที่เข้าใจว่าเป็นแนวคูน้ำคันดิน ด้านทิศตะวันตกของเวียงกุมกาม อยู่ลึกลงไปจากปัจจุบันประมาณ 2 เมตร ประกอบด้วยวิหารเจดีย์อุโบสถ และส่วนประกอบปลีกย่อย เช่น แท่นบูชา ศาลผีเสื้อตั้งอยู่ด้านหน้า ส่วนองค์เจดีย์มีลักษณะศิลปกรรมแบบสุโขทัยและแบบล้านนารวมกันคือ มีเรือนธาตุสูงรับองค์ระฆังขนาดเล็ก อายุการสร้างเจดีย์ปู่เปี้ยน่าจะอยู่รัชสมัยของพญาติโลกราช คือในราว พ.ศ.1988-2068

ภาพจาก : www.flickr.com

วัดธาตุขาว ตั้งอยู่บริเวณที่เข้าใจว่าอยู่นอกแนวคูเมืองเวียงกุมกาม เยื้องออกไปทางทิศตะวันตกอยู่ลึกจากผิวดินปัจจุบันประมาณ 1 เมตร ประกอบด้วยเจดีย์และพระอุโบสถ ลักษณะสถาปัตยกรรมของเจดีย์เป็นเจดีย์กลม ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมแบบศิลปะล้านนา อายุอยู่ในราวพุทธศตรรรษที่ 21 ตรงประดิษฐานพระพุทธรูปในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปปูนปั้นชำรุดขนาดใหญ่ ฉาบด้วยปูนขาวตกอยู่ เข้าใจว่า ชื่อของวัดคงเรียกตามลักษณะพระพุทธรูปนี้

ภาพจาก : www.gerryganttphotography.com

วัดพญามังราย  ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองเวียงกุมกามด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบด้วยเจดีย์อยู่หลังวิหาร อุโบสถและซุ้มประตูโขงอยู่ด้านหน้า ลักษณะเจดีย์เป็นศิลปะล้านนา ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยกเก็จรองรับเรือนฐานที่มีซุ้มพระ 4 ด้าน ประดับลวดลายปูนปั้นคล้ายกับเจดีย์ป่าสักเมืองเชียงแสน สันนิษฐานว่าสร้างราวพุทธศตรวรรษที่ 20

ภาพจาก : www.gerryganttphotography.com

วัดพระเจ้าองค์ดำ ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเวียงกุมกามทางมุมด้านทิศเหนือ ภายในวัดมีเนิน โบราณสถาน เนินดินแรกอยู่ทางทิศเหนือ กว้างประมาณ 40 เมตร ยาวประมาณ 14 เมตร สูง 3.50 เมตร วางตัวทางแนวทิศเหนือ-ใต้ เนินดินนี้ชาวบ้านเรียกว่า “เนินพญามังราย”  วัดนี้คงเป็นวัดที่สำคัญวัดหนึ่งของเวียงกุมกามเพราะพบสิ่งก่อสร้างหลายแห่ง อีกทั้งรูปแบบของอาคารแต่ละแห่งนั้นมีลักษณะเฉพาะของตนเอง อีกทั้งโบราณวัตถุที่พบจากการขุดแต่งบูรณะ เช่น พระพุทธรูปสำริดศิลปะล้านนาขนาดเล็กหลายองค์ พระพุทธรูปนาคปรกสำริดทรงเครื่องแบบศิลปะเขมร และพระพิมพ์แบบหริภุญไชย

ภาพจาก : thailandtourismdirectory.go.th

วัดเจดีย์เหลี่ยม (กู้คำ)  พญามังรายทรงใช้ขุดคูเมืองทั้ง 4 ด้าน เพื่อนำน้ำปิงเข้าสู่คูเมือง และตั้งลำเวียง (ค่าย) ไว้โดยรอบ และให้ขุดหนองสระไว้ใกล้ที่ประทับ และให้นำดินที่ขุดไปปั้นอิฐก่อเจดีย์เพื่อเป็นที่สักการะของประชาชนทั้งหลาย ขนาดฐานกว้าง 8 วา 1 ศอก สูง 22 วา ถอดแบบมาจากวัดจามเทวี จังหวัดลำพูน ซึ่งเป็นศิลปกรรมแบบลพบุรี มีพระพุทธรูปยืนอยู่ในซุ้มทั้ง 4 ด้าน ๆ ละ 15 องค์ รวม 60 องค์ กล่าวกันว่าเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระชายาทั้ง 60 พระองค์ ยอดเจดีย์แหลมขึ้นไปเป็นตุ่มไม่มีฉัตรเหมือนเจดีย์ทั่ว ๆ ไป คล้ายสถูป จึงเรียกกันว่า “เจดีกู่คำ” ต่อมาปี พ.ศ.2451 หลวงโยนการวิจิตรได้ทำการบูรณะ โดยให้ช่างชาวพม่าเป็นผู้ดำเนินงานลวดลายต่าง ๆ ทั้งชุบพระและองค์พระเหมือนศิลปกรรมพม่า ทั้งหมด 64 องค์

ภาพจาก : thainorthtour.com

♥ ที่อยู่ : ตำบลช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่

❀❀❀❀❀❀❀❀

5.เวียงท่ากาน 

“เวียงท่ากาน” เป็นเมืองโบราณที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเมืองหน้าด่านของ “อาณาจักรหริภุญชัย” หรือลำพูนในปัจจุบัน ซึ่งมีกำแพงเมืองและคูเมืองล้อมรอบ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นโบราณสถานอันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 คำว่า “ท่ากาน” ชาวบ้านเล่าว่ามาจากคำว่า “ต๊ะก๋า” ในตำนานเล่าว่า เมื่อก่อนนี้มีกาเผือกตัวใหญ่จะบินลงที่นี้ชาวบ้านกลัวว่าเมื่อบินลงมาจะทำ ให้เกิดความเดือดร้อน ผู้คนในหมู่บ้านจึงพากันไล่กาหรือต๊ะก๋าไม่ให้มาก็เลยเรียกต่อกันมาว่า บ้านต๊ะก๋า ต่อมาเมือประมาณพ.ศ.2450 เจ้าอาวาสวัด ท่ากานได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านท่ากาน เนื่องจากคำว่า บ้านต๊ะก๋า ไม่เป็นภาษาเขียน

เครดิตภาพ : ตามภาพ

จากหลักฐานทางด้านเอกสาร และตำนานหลายฉบับ เช่น ตำนานมูลศาสนา พงศาวดารโยนก และตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวโดยรวมไว้ว่า “เวียงท่ากาน”  เป็นเมืองที่มีประวัติเกี่ยวกับนิยายปรัมปราทางพุทธศาสนา กล่าวถึงพระพุทธเจ้าว่าเคยเสด็จมาที่เมืองนี้มาถึงยุคล้านนา และจากการขุดค้นทางโบราณคดี ได้พบโบราณวัตถุศิลปกรรมแบบหริภุญไชยจำนวนมาก เช่น พระพิมพ์ดินเผาแบบต่างๆ พระพุทธรูปดินเผา เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่าชุมชนแห่งนี้นับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ส่วนโบราณสถานที่พบส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนาที่กำหนดอายุสมัยระหว่างพุทธศตวรรษที่ 20-22 แสดงถึงการอยู่อาศัยสืบเนื่องกันมาโดยตลอด

เครดิตภาพ : ตามภาพ

“เวียงท่ากาน” ปรากฏชื่อในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ว่า “เวียงพันนาทะการ” อาจจะเป็นเมืองที่มีความสำคัญเมืองหนึ่ง เนื่องจากพญามังราย (พ.ศ. 1804-1854)โปรดให้นำต้นโพธิ์ที่นำมาจากลังกาทวีปหนึ่งต้นจากจำนวนสี่ต้น มาปลูกที่เมืองเวียงพันนาทะการ  “เวียงท่ากาน” เป็นเมืองที่มีเจ้าเมืองปกครองภายใต้การปกครองของเจ้าเมืองเชียงใหม่เป็นแหล่งสะสมเสบียงอาหารเพราะเป็น  ถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ชื่อของ “เวียงท่ากาน” ปรากฏในเอกสารโบราณเกี่ยวกับเมืองเชียงใหม่ในสมัยพระเจ้าติโลกนาถ กล่าวว่าพระองค์ได้เสด็จยกทัพไปตีเมืองเงี้ยว และได้นำเชลยเงี้ยวไปอยู่ที่เวียงท่าการ หมายถึงว่าในช่วงนี้เวียงพันนาทะการมีฐานเป็นเมืองขึ้นของเชียงใหม่ เพราะคำว่าพันนาในภาษาไทยเหนือหมายถึงตำบล

เครดิตภาพ : ตามภาพ

หลังจากพม่าเข้าตีเมืองเชียงใหม่ได้ในสมัยพระเจ้าหงสาวดี บุเรงนอง “เวียงท่ากาน” จึงตกอยู่ในอำนาจของพม่าเช่นกันต่อมาเมืองเชียงใหม่ถูกทิ้งร้างไปประมาณ 20 ปีเศษ คือในช่วงระหว่าง (พ.ศ.2318-2339) “เวียงท่ากาน” ก็คงจะร้างไปด้วย จนถึงช่วงปี พ.ศ.2339  พระเจ้ากาวิละทรงตี เมืองเชียงใหม่คืนจากพม่าได้จึงกวาดต้อนพวกไทยยองเข้ามาอยู่ตราบจนทุกวันนี้

เครดิตภาพ : ตามภาพ

โบราณสถานภายในเวียงท่ากานที่สำคัญ

  • วัดกลางเมือง
  • วัดหนองหล่ม
  • วัดอุโบสถ
  • วัดน้อย
  • วัดต้นโพธิ์
  • วัดป่าเป้า
  • วัดหัวข่วง
  • วัดป่าไผ่รวก
  • วัดพระเจ้าก่ำ
  • กู่ไม้แดง
  • วัดต้นกอก

♥ ที่อยู่ : ตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่

❀❀❀❀❀❀❀❀

6.ผาสิงห์เหลียว 

“ผาสิงห์เหลียว” เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สวยงามมากๆ ตั้งสง่าโดดเด่นมองเห็นอย่างชัดเจน รูปร่างที่อยู่บนจุดสูงสุดคล้ายกับสิงห์กำลังเหลียว ตั้งอยู่ที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เกิดจากการทรุดตัวของผืนดิน จนกลายเป็นรอยชั้นของหิน มีลักษณะคล้ายเสาหิน เป็นดินลูกรัง เสาถูกยึดด้วยเนื้อดินเหนียวลูกรังปนกรวดหิน มีหลายจุดที่มีรูปร่างคล้ายกำแพงโรมัน และก็มีอีกหลากหลายรูปทรง จนสามารถทำให้นักท่องเที่ยวจิตนาการไปได้มากมายค่ะ

ภาพจาก : www.thainorthtour.com

“ผาสิงห์เหลียว” ถูกรายล้อมไปด้วยผืนป่าเต็งรัง จึงทำให้ที่นี่ดูดีกว่าที่อื่นๆ สามารถมองหน้าผาแห่งนี้จากมุมสูงได้ และช่วงฤดูฝนใบไม้จะมีสีเขียวสด ทำให้สีของหน้าผาที่ตั้งตระหง่านตัดกับสีของใบไม้ที่ปกคลุมป่าผืนนี้อย่างชัดเจน ถ้าหากเป็นช่วงป่าเต็งรังเปลี่ยนสี ราวเดือนมกราคมก็จะเห็นป่าเปลี่ยนสีและเสาดินสวยงามไปอีกแบบหนึ่งด้วยค่ะ

ตามตำนานเล่าขานว่า จากดอยแพะก้อมแพะดังขึ้นไปบนดอยสิงห์เหลียว จะเห็นม่อนหินดินขอ ที่เป็นตำนานเล่ากันมาอีกทีว่าหากขึ้นไปตรงนี้จะรู้ว่าสมบัติอยู่ตรงไหน ในหลักฐานชิ้นนี้ซึ่งตรงกับหลักฐานชิ้นหนึ่งในหนังสือดรรชนีเมือง ที่ได้มีการแปลตำนานไว้ในช่วงหนึ่งว่า ในเขตอำเภอฮอดจะมีที่ซ่อนสมบัติอยู่ ในเขตตำบลบ้านตาล 2 แห่ง มีที่บริเวณผาสิงห์เหลียว และดอยแพะก้อม ประวัติตำนานนี้มีอายุล่วงมานับพันกว่าปีมาแล้ว จึงถือว่าเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งของชุมชน ถึงแม้ว่าจะไม่มีเอกสารอื่นๆให้เห็นมากนักก็ตามค่ะ

ภาพจาก : mediastudio.co.th

ในอาณาเขตบริเวณแห่งนี้มีสิ่งให้ชมคือ ไม้กลายเป็นหิน นับว่าเป็นแหล่งธรณีวิทยาพอสมควร การที่ไม้จะกลายเป็นหินได้นั้นจะต้องอาศัยวิวัฒนาการมายาวนาน 1,000 ถึง 5,000 ปี จึงจะกลายเป็นหินได้ และในตำนานยังบอกอีกว่ามีคนบอกว่าที่นี่จะมีประตูทางเข้าลึกลับมาก เมื่อก่อนเคยมีถ้ำ แต่ปัจจุบันหาไม่เจอแล้วและคนธรรมดาอย่างเราๆไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าอยู่ที่ใด และหากใครสามารถพบทางเข้าถ้ำแห่งนี้ ก็จะเจอกับผู้คุ้มครองคล้ายพญานาค และลักษณะประตูทางเข้าจะเป็นประตูกลลักษณะเป็นเฟืองขนาดใหญ่ทำงานอัตโนมัติตลอดเวลา และใครที่ต้องการจะหยุดประตูกลนี้ได้ จะต้องใช้ไม้ซุงหลายร้อยท่อนเพื่อนำไปค้ำให้หยุดกลไกของประตู เพื่อที่จะสามารถเข้าไปข้างในได้ หากเข้าไปได้แล้วก็จะพบกับสมบัติมากมาย (ว่ากันว่ามีสมบัติมากจนคนทั้งอำเภอรวยไป 7 ชั่วโคตร) และความลึกของถ้ำผาสิงห์เหลียวจะไปโผล่ที่วัดลัฎฐิวัน (วัดบ้านตาลเหนือในปัจจุบัน)

ภาพจาก : mediastudio.co.th

ตำนาน “ผาสิงห์เหลียว” ได้ผู้เกี่ยวข้องทำการคัดลอก และแปรเป็นภาษาไทยมาจากใบลานที่เก่าแก่ ที่แทบจะมองไม่เห็นแล้ว เป็นที่เที่ยวยอดฮิตที่ควรค่ากับการไปให้ได้สักครั้ง

♥  ที่อยู่ : ตำบลบ้านตาล อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่

❀❀❀❀❀❀❀❀

7.ถ้ำเมืองออน 

“ถ้ำเมืองออน” เป็นถ้ำขนาดใหญ่เป็นโพรงอยู่ใต้ภูเขาหินปูน ภายในถ้ำเมืองออนมีหินงอกหินย้อยที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมี “พระธาตุนมผา” ซึ่งเป็นหินงอกบรรจุพระเกศาขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า นับได้ว่าเป็นพระธาตุที่มีความแปลก และงดงามมาก เพราะมาจากธรรมชาติไม่ใช่สิ่งก่อสร้างของมนุษย์

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าในอดีตพระพุทธเจ้าได้เดินธุดงค์เผยแพร่คำสอนผ่านมายังเมืองหริภุญชัย แล้วขึ้นเหนือมายังถ้ำดอยศิลาซึ่งเป็นชื่อเดิมของ “ถ้ำเมืองออน” ได้มีพญานาคที่สิงสถิตอยู่ภายในถ้ำแปลงกายเป็นมนุษย์แล้วได้นำผลไม้ และน้ำผึ่งป่าถวายแด่พระพุทธเจ้า เมื่อท่านรับเอาแล้วก็ถวายพรแก่พญานาค พญานาคจึงมีความปิติยินดีจึงขอเอาเกศาธาตุพระพุทธเจ้ามาตั้งไว้ในพระธาตุนมผาเพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการะบูชาภายในถ้ำ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2471 ท่านครูบาศรีวิชัยได้ธุดงค์มาพบถ้ำแห่งนี้ จึกชักชวนผู้มีจิตศรัทธาสร้างถนนและบันไดขึ้นสู่ปากถ้ำ ได้สร้างพระพุทธรูปทันใจซึ่งสามารถสร้างเสร็จภายใน 1 วัน และได้เปลี่ยนชื่อถ้ำเป็น ถ้ำเมืองออน ในที่สุด

การเดินเที่ยว “ถ้ำเมืองออน” นั้นจากจุดจอดรถต้องเดินขึ้นบันไดพญานาค 187 ขั้น เข้าสู่ปากถ้ำ ก่อนที่จะต้องเดินลงเข้าสู่ถ้ำ เส้นทางค่อนข้างชัน และแคบ จุดต่างๆที่น่าสนใจบริเวณ “ถ้ำเมืองออน” นอกจากพระธาตุนมผา ได้แก่ พระสถูปครูบาศรีวิชัย ถ้ำฤาษี หินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆ เช่น ไดโดนเสาร์ แมวหิน หัวสิงโต น้ำหยดนมผา กระโถนฤาษี เต่าหิน หัวพญานาค บัวพันชั้น ทรายหลายแล้ง ไม้สักล้านปี พระพุทธรูปต่างๆที่อยู่ภายในถ้ำ พระเจ้าลี้ลับ พระกรุณาไชยาสน์ พระพุทธเจ้านั่งบัว นอกจากนั้นจากปากถ้ำสามารถเดินขึ้นไปอีก 700 กว่าขั้นเพื่อนมัสการหลวงพ่อทันใจ และชมวิวทิวทัศน์ที่สวยมากๆค่ะ

ที่อยู่ : อำเภอแม่ออน จังหวัดเชียงใหม่

❀❀❀❀❀❀❀❀

8.เจดีย์ขาว 

“เจดีย์ขาว” หรือ เจดีย์กิ่ว ตั้งอยู่ใจกลางถนน ปัจจุบันเป็นวงเวียนให้รถวนรอบ อยู่บริเวณหัวมุมถนนข้างเทศบาลนครเชียงใหม่ใกล้กับสถานกงศุลอเมริกา ส่วนอีกฝั่งติดแม่น้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสาย “เจดีย์ขาว” หรือที่ชาวล้านนาเรียกว่าเจดีย์กิ่ว ซึ่งสาเหตุที่เรียกว่าเจดีย์กิ่วนั้น มาจากชั้นตรงกลางของเจดีย์ จะมีลักษณะคอดเข้าไปเป็นกิ่ว (กิ่ว แปลว่า คอดมาก เล็กตอนกลาง)

ภาพจาก : culture.mome.co

ตามตำนานเล่าประวัติของ “เจดีย์ขาว” ไว้ว่า ในสมัยโบราณกาลพม่ายกกองทัพมาประชิดเมืองเชียงใหม่ เพื่อต้องการยึดเมืองเชียงใหม่ ได้ท้าพนันดำน้ำแข่งกันระหว่างไทยกับพม่า เพราะพม่าเชื่อว่าคนเชียงใหม่ไม่มีใครดำน้ำเก่ง เนื่องจากเชียงใหม่อยู่ในภูมิประเทศที่ดอน คนเชียงใหม่จึงไม่ค่อยชำนาญเรื่องทางน้ำ โดยการแข่งดำน้ำมีเมืองเชียงใหม่เป็นเดิมพัน หากใครขึ้นจากน้ำแม่ปิงก่อนเป็นฝ่ายแพ้ หากไทยแพ้พม่าจะยึดเมืองเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้น หากไทยชนะพม่าจะยกทัพกลับ

พม่าให้ไทยประกาศหาคนเชียงใหม่ที่ดำน้ำเก่งมาแข่งกับพม่า โดยให้หาคนมาแข่งขันภายใน 3 วัน เจ้าเมืองเชียงใหม่จึงได้ประกาศรับสมัครหาคนเป็นตัวแทนมาแข่งขันกับฝ่ายข้าศึก เมื่อครบ 3 วันก็ยังไม่มีใครอาสา ในที่สุดเจ้าเมืองเชียงใหม่ก็เห็นทีว่าจะต้องเสียเมืองให้แก่พม่า แต่พอดีได้มีชายคนหนึ่งรู้ข่าว ชายคนนั้นชื่อ “ปู่เปียง” จึงรับอาสาประลองดำน้ำครั้งสำคัญ ทั้งๆที่ดำน้ำไม่เก่งเลย

ภาพจาก : lannastoryandlegend.blogspot.com

เมื่อถึงเวลาแข่งขันบริเวณริมแม่น้ำปิงตัวแทนทั้งสองฝ่ายต่างก็ดำลงไปในน้ำพร้อมกัน ปรากฎว่าตัวแทนฝ่ายข้าศึกโผล่ขึ้นมาก่อนจึงถือว่าแพ้ ก็ได้ยกกองทัพกลับไป ฝ่ายปู่เปียงดำน้ำเป็นเวลานาน ก็ไม่โผล่ขึ้นมาสักที ท่านเจ้าเมืองจึงให้คนดำลงไปดู ปรากฎว่าปู่เปียงใช้ผ้าขาวม้าผูกตนเองติดกับเสาหลักใต้น้ำถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองเชียงใหม่จึงได้สร้าง “เจดีย์ขาว” ขึ้นบริเวณริมแม่น้ำปิง เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความดีของปู่เปียงที่สละชีวิตตนเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองเอาไว้

ภาพจาก : culture.mome.co

ในปัจจุบันหากเรามอง “เจดีย์ขาว” แค่เพียงผิวเผินอาจจะเป็นแค่เจดีย์ขาวขนาดย่อมที่เป็นเหมือนวงเวียนตรงกลางถนน ซึ่ง“เจดีย์ขาว” มีลักษะคล้ายเจดีย์สามเหลี่ยมทรงกลม กว้าง 6 เมตร สูง 8 เมตร องค์สถูปโบกปูน ไม่มีลวดลายประดับแต่อย่างใด แม้จะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีการจารจรหนาแน่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าย้ายเจดีย์นี้ จึงนับว่าได้เรื่องราวของ “เจดีย์ขาว” มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และ “เจดีย์ขาว” แห่งนี้ได้ซ่อนเรื่องราวประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของเมืองเชียงใหม่ให้ได้จดจำว่าครั้งหนึ่งเคยมีชายผู้หนึ่งเป็นวีรบุรุษหาญกล้า ยอมสละชีพเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนด้วยความรักชาติอย่างภาคภูมิใจ “เจดีย์ขาว” จึงเป็นอนุสรณ์แห่งความดีที่ปรากฏให้เราเห็นจนถึงปัจจุบัน

❀❀❀❀❀❀❀❀

9.วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร 

วัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระบรมธาตุส่วนพระเศียรเบื้องขวา มีความพิเศษแตกต่างจากที่อื่นคือ เป็นพระบรมธาตุที่ไม่ได้ฝังใต้ดิน แต่ประดิษฐานอยู่ในกู่ภายในวิหาร

ตามตำนานเล่าว่าพระพุทธเจ้าได้เสด็จมายังดอยนี้ และทรงพยากรณ์ว่าที่นี่จะเป็นที่ประดิษฐานพระทักขิณโมลีธาตุของพระองค์ในภายหน้า ซึ่งในราวปี พ.ศ. 1995 นางเม็งและนายสอยได้พบพระบรมธาตุ จึงได้ก่อพระเจดีย์และสร้างเสนาสนะที่ดอยต้นทอง คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อวัดนี้ว่า วัดจอมทอง ต่อมาในสมัยพระเมืองแก้ว (พ.ศ. 2038-2068) กษัตริย์องค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์มังราย ท่านได้สร้างวิหารจัตุรมุข ภายในมีมณฑปปราสาทเพื่อประดิษฐานองค์พระบรมธาตุ เจ้าเมืองเชียงใหม่หลายพระองค์ทรงได้อัญเชิญองค์พระบรมธาตุศรีจอมทองไปยังเมืองเชียงใหม่เพื่อทำการสักการะ โดยมีวัดต้นเกว๋น ที่ อ.หางดง เป็นวัดที่หยุดพักขบวนระหว่างแห่องค์พระบรมธาตุเข้าเมือง ในทุกๆปี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 และวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7 จะมีพิธีแห่องค์พระบรมธาตุไปบูชาข้าวที่อุโบสถและให้พุทธศาสนิกชนได้สรงน้ำ

สถานที่สำคัญภายในวัดพระธาตุศรีจอมทองวรวิหาร

  • พระอุโบสถ
  • หอพระไตรปิฎก
  • พระเจดีย์บริวาล (พระธาตุน้อย)
  • พระธาตุศรีจอมทอง
  • พระวิหารจัตุรมุข

♥ ที่อยู่ : ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่
♥ เบอร์ติดต่อ : 053-341-725, 053-826-869

❀❀❀❀❀❀❀❀

10.กำแพงและประตูเวียงเชียงใหม่ 

เอกลักษณ์ของเมืองเชียงใหม่ ที่ไม่เหมือนที่ไหนๆคือมีคูเมืองล้อมรอบ และกำแพงเมือง ซึ่งอดีตเป็นคูเมืองที่ใช้ป้องกันข้าศึก และยังเป็นแหล่งประมง แหล่งน้ำ สำหรับเมืองเชียงใหม่ แม้ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาจะมีการบูรณะซ่อมแซมมาบ้าง แต่แนวกำแพงและประตูเมืองที่เห็นในปัจจุบันยังคงมีเค้าโครงของแนวกำแพงสมัยโบราณอยู่ ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในปี พ.ศ. 2478

ภาพจาก : www.chiangmaiworldheritage.net

คูเมืองเชียงใหม่มีความกว้าง 9 วา (ราว 18 เมตร ปัจจุบันเหลือประมาณ 13 เมตร) ถูกสร้างขึ้นโดยกำลังคน เมื่อเจ็ดร้อยกว่าปีก่อน เช่นเดียวกับกำแพงและประตูเมือง ในขณะที่คูเมืองเชียงใหม่เป็นของเดิม แต่กำแพงและประตูเมืองที่หลายคนเข้าใจว่าเป็นโบราณสถานคู่เมืองมาแต่โบราณ ล้วนถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด โดยกำแพงเมืองที่เป็นโบราณสถานที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น (จาก ‘แจ่งเมือง’ หรือหัวมุมทั้ง 4 ของคูเมือง) ล้วนเป็นสิ่งปลูกสร้างในยุคสมัยที่พระเจ้ากาวิละกลับมารื้อฟื้นเมือง (ยุคเก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง พ.ศ.2325-2339) หลังจากที่เชียงใหม่ร้างไร้ผู้คนไปกว่าสองร้อยปีจากการปกครองของพม่า เป็นกำแพงเมืองก่ออิฐ มีป้อมปราการ และประตูเมืองชั้นใน 5 ประตู

กำแพงเมืองและประตูเมืองเชียงใหม่มีความสำคัญ ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์เด่น ในการสร้างกำแพงเมืองเชียงใหม่ขึ้นแต่เดิมนั้น กำแพงเมืองเชียงใหม่มีสองชั้นคือ กำแพงชั้นในรูปสี่เหลี่ยม และกำแพงชั้นนอกหรือกำแพงดิน กำแพงทั้งสองชั้นสร้างขึ้นไม่พร้อมกัน มีความสำคัญไม่เท่ากัน กำแพงชั้นในสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระยามังราย เมื่อครั้งสถาปนาเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.1839 ส่วนกำแพงชั้นนอกสันนิษฐานว่าสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 22 บริเวณกำแพงเมืองชั้นใน ประกอบด้วยประตูเมือง

ภาพจาก : www.lannaexpertdriver.com

ประตูช้างเผือก เดิมมีชื่อว่า ประตูหัวเวียง เป็นประตูชั้นในด้านทิศเหนือ สมัยก่อนเป็นประตูเอกของเมือง ในพระราชพิธีบรมราชาพิเษก กษัตริย์จะเสด็จเข้าเมืองยังประตูนี้ ได้เปลี่ยนชื่อในรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 1 เนื่องจากได้โปรดให้สร้างอนุสาวรีย์รูปช้างเผือกขึ้น ปัจจุบันมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ อนุสาวรีย์สามกษัตริย์, วัดหัวข่วง, วัดโลกโมฬี, หอประวัติศาสตร์, พิพิธภัณฑ์ถิ่นล้านนา, วัดอินทขิล

ประตูเชียงเรือก ตั้งอยู่ด้านตะวันออกของกำแพงเมืองชั้นใน มีบ้านเชียงเรือกตั้งอยู่บริเวณนอกกำแพงเมือง เดิมบ้านเชียงเรือกเป็นชุมชนค้าขาย เพราะเป็นที่ตั้งของตลาดเชียงเรือก ตลาดเก่าแก่แห่งหนึ่งของเชียงใหม่ คาดว่ามีประชากรหนาแน่น ซึ่งมีหลักฐานกล่าวถึงสมัยพญาแก้ว เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมเชียงเรือก มีคนจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก ในสมัยพระเจ้าอินทวิชายานนท์ เจ้าหลวงเชียงใหม่องค์ที่ 7 (พ.ศ.2416 – 2440) ชื่อประตูเชียงเรือก เปลี่ยนมาเป็นประตูท่าแพชั้นในเพื่อให้คู่กับประตูท่าแพชั้นนอก ซึ่งอยู่บนถนนสายเดียวกัน มีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ ลานจัดกิจกรรมประเพณีต่างๆ , ถนนคนเดิน(ทุกวันอาทิตย์), กาดวโรรส, สะพานนวรัฐ

ประตูเชียงใหม่ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ ในอดีตเป็นเส้นทางสำคัญระหว่างเชียงใหม่ไปเวียงกุมกามและลำพูน ในสมัยราชวงศ์มังราย (พ.ศ.1804 – 2101) ทั้งเชียงใหม่ กุมกามและลำพูนตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำปิงเช่นเดียวกัน การเดินทางจึงไม่ต้องข้ามแม่น้ำปิง ปัจจุบันเป็นจุดส่วนรวมนักท่องเที่ยว และเป็นศูนย์รวมขายอาหารตอนกลางคืน และมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ ตลาดประตูเชียงใหม่, วัดเจดีย์หลวง, วัดเจ็ดลิน, วัดช่างแต้ม, ถนนคนเดินวัวลาย(ทุกวันเสาร์)

ประตูแสนปุง ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงใต้ใกล้กับประตูเชียงใหม่ คือเฉพาะกำแพงเมืองด้านใต้เท่านั้นที่มีสองประตู ประตูนี้สันนิษฐานอาจเจาะภายหลังคือไม่ได้สร้างพร้อมกับสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.1839 อย่างไรก็ตามยังไม่พบหลักฐานที่กล่าวถึงการเจาะประตูนี้ หลักฐานตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงประตูแสนปุงครั้งแรกสมัยมหาเทวีจิรประภา พ.ศ.2088 “ชาวใต้มาปล่นเอาปะตูแสนปุง บ่ได้” สันนิษฐานที่ชื่อ แสนปุง เพราะเป็นทางออกไปสู่บริเวณที่มีเตาปุง (เตาไฟ) มากมาย เพราะด้านนอกประตูเป็นที่อยู่ของกลุ่มช่างหลอมโลหะจึงมีเตาปุงไว้หลอมโลหะจำนวนมาก ปัจจุบันยังมีบ้านช่างหล่อพระพุทธรูปอาศัยอยู่ และถนนเลียบคูเมืองด้านนี้ชื่อถนนช่างหล่อจากความเชื่อเรื่องทิศ และพื้นที่ถือเป็นเขตกาลกิณี จึงกำหนดให้ประตูแสนปุงเป็นทางออกไปสุสาน ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ สวนบวกหาด, เซ็นทรัลแอร์พอร์ต

ประตูสวนดอก ตั้งอยู่ทิศตะวันตก ประตูด้านนี้เป็นทางออกไปสู่อุทยานของกษัตริย์ สมัยพญากือนา พ.ศ.1914 ได้สร้างวัดบนพื้นที่อุทยาน จึงเรียกวัดสวนดอก และในช่วงนั้นพญากือนาคงสร้างเวียงสวนดอกด้วย ปัจจุบันมีสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง ได้แก่ วัดพระสิงห์, วัดสวนดอก, วัดปันเสา, นิมมานเหมินท์

นอกจากกำแพงเมืองชั้นในแล้ว เมืองเชียงใหม่ยังมีกำแพงเมืองชั้นนอกรูปพระจันทร์เสี้ยว หรือที่รู้จักชื่อกำแพงดิน โอบล้อมไว้ เริ่มตั้งแต่แจ่งศรีภูมิด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เลียบตามลำน้ำแม่ข่าลงมาด้านทิศตะวันออก และทิศใต้ มาบรรจบกับกำแพงเมืองชั้นในที่แจ่งกูเฮือง บริเวณกำแพงเมืองเชียงใหม่ด้านนอกมีประตูเมืองสำคัญอยู่ 5 ประตู

ประตูช้างม่อย อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ในอดีตถนนช้างม่อยเก่าเป็นเส้นทางโบราณผ่านหมู่บ้านเชียงเรือกไปวัดหนองหล่มแล้วไปสิ้นสุดที่ประตูช้างม่อย ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงประตูช้างม่อยว่า สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2368 เมื่อบ้านเมืองขยายตัวทางราชการได้ตัดถนนช้างม่อยใหม่ขึ้น โดยเจาะกำแพงชั้นในให้ถนนราชวิถีจากในเวียงตัดตรงสู่ถนนช้างม่อยใหม่แล้วไปออกแม่น้ำปิง ดังนั้นชาวบ้านจึงเรียกประตูชั้นในที่เจาะใหม่ว่า ประตูช้างม่อย เพื่อแทนที่ประตูเดิมซึ่งถูกรื้อทิ้งไปในปี พ.ศ.2511

ประตูท่าแพ อยู่ด้านทิศตะวันออกของเมือง บริเวณหน้าวัดแสนฝาง ที่ชื่อท่าแพเพราะเป็นทางออกสู่ท่าน้ำแม่ปิง ในสมัยพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เรียกชื่อประตูนี้ว่า ประตูท่าแพชั้นนอก เพราะความเจริญเติบโตของเมืองชื่อของประตูท่าแพชั้นนอกจึงค่อย ๆ หายไป ประตูท่าแพจึงเหลือเพียงประตูเดียว ซึ่งจนปัจจุบันประตูท่าแพก็กลายเป็นแลนด์มาร์คทางการท่องเที่ยวของเมือง

ประตูหล่ายแคง หรือประตูระแกง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พบหลักฐานในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึง ประตูนี้ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2313 เมื่อกองทัพธนบุรียกมาล้อมเมืองเชียงใหม่ ที่ชื่อหล่ายแคง เพราะบริเวณริมคูเมืองมีลักษณะลาดเท ในสมัยต่อมาจึงเรียกเพี้ยนมาเป็น ประตูระแกง

ประตูขัวก่อม อยู่ทางทิศใต้ ปรากฏในหลักฐานโคลงมังทรารบเชียงใหม่ว่าสร้างขึ้นอย่างน้อยในปี พ.ศ.2158

ประตูไหยา อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวถึงประตูไหยาเป็นครั้งแรกว่า เมื่อเทพสิงห์ยึดเมืองเชียงใหม่จากพม่า ได้บุกเข้ามาทางประตูไหยา แต่ด้วยที่ตั้งของประตูไหยาอยู่ในทิศเดียวกับประตูแสนปุง เป็นตำแหน่งกาลกิณีเมือง จึงใช้เป็นทางเคลื่อนศพมาฌาปนกิจที่สุสานหายยามาตั้งแต่โบราณ

แจ่งเมือง

ในส่วนของกำแพงเมืองเชียงใหม่มีแจ่ง (มุม) 4 แจ่ง ซึ่งถือเป็นป้อมปราการของเมืองในอดีต แต่ละมุมจะออกไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ

  • แจ่งศรีภูมิ ป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
  • แจ่งก๊ะต้ำ ป็นแจ่งทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
  • แจ่งกู่เฮือง เป็นแจ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
  • แจ่งหัวลิน เป็นแจ่งด้านตะวันตกเฉียงเหนือ

❀❀❀❀❀❀❀❀

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

พาไปนอนที่พักสวยๆ ชมวิวเมืองพัทยา ในบรรยากาศเก๋ๆ ที่ “Mytt Beach Hotel Pattaya”

วันหยุดสั้นๆ แต่อยากได้ที่พักใกล้ทะเล แบบไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เมืองพัทยาคือคำตอบเลยค่ะ พักเที่ยวครั้งนี้ขอเลือกโรงแรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เก๋ชิคอย่างเรา แน่นอนว่าต้องเป็นที่ “Mytt Beach Hotel Pattaya” เพราะเหมือนยกทุกความเก๋มาไว้ที่นี่แล้วจริงๆ นอนสบาย ถ่ายรูปสวย อาหาหรอร่อย สิ่งอำนวยความสะดวกครบจัดเต็ม อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับชายหาดพัทยา และแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิตมากมาย สามารถเดินทางท่องเที่ยวเมืองพัทยาได้แบบสะดวกสบายสุดๆ

English version >> http://hotelandresortthailand.com/read/?p=48173

“Mytt Beach Hotel Pattaya” โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ใจกลางพัทยาเหนือในเครือของ เอ-วันกรุ๊ป ความน่าสนใจของที่นี่นอกจากเรื่องการตกแต่งที่ดูหรูหรา มีสไตล์ชิคเก๋แล้ว ยังพิเศษในเรื่องของ Full Facility เรื่มกันที่ห้องอาหาร The Kitch เสิร์ฟแบบ All Day Food

ทานอาหารเช้าแบบชิลล์ๆ บรรยากาศหรูหรา ตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นทันสมัย

หรือจะบุพเฟ่ต์นานาชาติมื้อค่ำ ไลน์บุฟเฟ่ต์แบบไม่อั้น ยิ่งซีฟู๊ดคือเหมือนยกทั้งทะเลมาไว้ที่นี่เลย สดใหม่มากๆ

มีครบที่คุณต้องการเลยล่ะ ทานได้จุใจ จุกๆกันเลย อร่อยถูกปากทุกอย่างแน่นอนค่ะ

หรือใครที่ต้องการนั่งดริงก์ชิลล์ๆ เห็นวิวเมืองพัทยาแบบไร้สิ่งใดบดบัง ก็แวะเวียนมาที่ชั้น 19 เรียกว่าเป็นจุดขายอีกจุดที่นี่เลย “PIPPA BAR” รูฟท็อปบาร์อันดันหนึ่งของพัทยา

ไฮไลท์อีกจุดของ “Mytt Beach Hotel Pattaya” ก็คือสระว่ายน้ำวิวทะเล และวิวเมืองพัทยา ขอบอกว่าถ่ายรูปมุมไหนก็สวยปังเวอร์ๆเลยจ้า

มาที่ห้องพักกันต่อ เราพักห้อง Deluxe Urban Room เฟอร์นิเจอร์ทันสมัยมาก ดีไซด์เก๋สมกับเป็น “Mytt Beach Hotel Pattaya” จริงๆ สิ่งอำนวยความสะดวกครบ โซฟานุ่มมากกกกก เตียงก็นอนสบายสุดๆ

ปิดท้ายด้วยห้อง Marina Suite ห้องพักสุดหรูพร้อมวิวทะเล ภายในห้องกว้างขวางมากกก ใหญ่มากกก สวยมากกก แบ่งออกเป็นสัดส่วน ทั้งมุมห้องนั่งเล่น มุมทำงาน มุมพักผ่อนชิลล์ๆ มีห้องน้ำ 2 ห้อง และยังมีห้องนอนที่เชื่อมต่อกันได้ ขอบอกเลยว่าห้องนี้เห็นวิวเมืองและวิวทะเลได้แบบ 360 องศาเลยค่ะ สวยยอมใจเลย อยากมาเที่ยวใกล้ๆ พักหรูๆ บรรยากาศเก๋ๆ “Mytt Beach Hotel Pattaya” นะคะ ประทับใจ มาแล้วต้องอยากกลับมาพักอีกแน่นอนค่ะ

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 038-259510
❀ อีเมลล์: info@mytthotel.com
❀ เวปไซต์: www.mytthotel.com
❀ เฟซบุ๊ค: MYTT Beach Hotel, Pattaya
❀อินสตาแกรม: Mytt Beach Hotel

» รีวิวโดย www.hotelandresortthailand.com

พาไปนอนติดหาด บรรยากาศแบบหรูๆ ที่ “Royal Cliff Beach Hotel Pattaya”

มีเวลาน้อย แต่ก็อยากพักเที่ยวใกล้ๆกรุงเทพฯ แบบชิลๆ วิวทะเล @พัทยา ตอบโจทย์มากเลยค่ะ เที่ยวเมืองสุดฮิตครั้งนี้เลือกมานอนพักที่ “Royal Cliff Beach Hotel Pattaya” ได้มาสัมผัสบรรยากาศหรูหราระดับ 5 ดาว มีความเป็นส่วนตัว และตัวโรงแรมอยู่ท่ามกลางสีสันของเมืองพัทยา เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ที่สำคัญติดหาดส่วนตัวอีกด้วยค่ะ

English version >> http://hotelandresortthailand.com/read/?p=48169

ที่นี่เรียกว่าเป็นอาณาจักรแห่งการพักผ่อน อลังการงานสร้างมากจริงๆ เพราะตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ มีทั้งหมด 4 โรงแรมหรู ซึ่งมีสไตล์การตกแต่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

  • รอยัล คลิฟ บีช โฮเต็ล – Casual Luxury ในสไตล์สบายๆแต่ยังคงมารตฐาน 5 ดาวไว้เป็นอย่างดี
  • รอยัล คลิฟ บีช เทอเรซ – Exotic Luxury ตกแต่งสไตล์บูทีคริมหาดส่วนตัว
  • รอยัล คลิฟ แกรนด์ โฮเต็ล – Formal Luxury เหมาะสำหรับกลุ่มธุรกิจเนื่องจากมีห้องประชุมที่หลากหลาย และตอบโจทย์ท่านที่ชื่นชอบวิวมุมสูงซึ่งจะได้เห็นวิวทะเลจรดขอบฟ้าจากห้องพักของท่าน
  • รอยัล วิง สวีท แอนด์ สปา – Ultimate Luxury พบกับที่สุดของบริการเหนือระดับเป็นส่วนตัวและเอ็กคลูซีฟที่สุดได้ที่นี่เท่านั้น

ห้องพักที่ได้มาพักวันนี้ เป็นห้อง “มินิสวีท พลัส” ห้องพักมีระเบียงส่วนตัว พร้อมวิวทะเลแบบเห็นได้สุดลูกตาเลยค่ะ

ภายในห้องพักกว้างขวาง หรูหราสุดมากๆ ตกแต่งด้วยโทนสีสว่าง สไตล์โมเดิร์น เฟอร์นิเจอร์สวยทันสมัย ภายในห้องยังแบ่งเป็นสัดส่วน โซนห้องนั่งเล่นโดดเด่นด้วยโซฟาสีม่วง โทรทัศน์จอแบน ในส่วนโซนห้องนอนเตียงใหญ่มว๊ากกก นุ่มนอนสบายสุดๆ และในส่วนของห้องน้ำตกแต่งด้วยกระจกบานใหญ่ มีเรนชาวเวอร์ และอ่างอาบน้ำให้เลือกใช้

มีสระว่ายน้ำถึง 3 สระ แต่ที่พลาดไม่ได้เลยคือสระว่ายน้ำไร้ขอบ “Infini Pool” เรียกว่าเป็น Signature ของที่นี่เลยล่ะ ตั้งอยู่บนจุดชมวิวที่สวยที่สุดของโรงแรม เห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา ตัวสระจะเป็นสระแบบไร้ขอบ เอาเป็นว่าสวยสะกดต้องมาให้ได้สัดครั้งจริงๆ

สระว่ายน้ำอีกสระ ที่ “Royal Cliff Beach Hotel Pattaya”

ซันเซ็ท เทอเรซ ล็อบบี้ บาร์ บรรยากาศดีโรแมนติกมากกก รับรองว่าใครมาก็ต้องปลื้ม

ปิดท้ายด้วยมื้อเช้าที่ “Panorama” ห้องอาหารสุดหรู วิว 360 องศา เป็นสไตล์ห้องอาหารนานาชาติ บรรยากาศดีงามมากๆ มาแล้วไม่อยากกลับเลยนะจริงๆ ฟูลออฟชั่นสุดๆ แนะนำเลยนะใครมีแพลนไปพัทยา “Royal Cliff Beach Hotel Pattaya” เป็นอีกหนึ่งที่พักที่คุณไม่ควรมองข้ามค่ะ

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 038-250421 ต่อ 2818, 2878
❀ อีเมลล์: creative@royalcliff.com
❀ เว็บไซต์: www.royalcliff.com
❀ เฟซบุ๊ค: Royal Cliff Hotels Group
❀อินสตาแกรม: Royal Cliff Hotels Group

» รีวิวโดย www.hotelandresortthailand.com

ย้อนรอยประวัติศาสตร์ “เมืองศรีเทพ” ตำนานเมืองเทพ-เทวดา จ.เพชรบูรณ์

“เมืองศรีเทพ” ตำนานเมืองเทพ-เทวดา

พื้นที่ตั้งอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ นับเป็นแหล่งอารยธรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ปัจจุบันยังเปรากฎร่องรอยหลักฐาน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยของมนุษย์ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์  วัฒนธรรมทวารวดี และเขมรตามลำดับ ก่อนที่จะถูกทิ้งร้างไปด้วยสาเหตุโรคระบาดร้ายแรงหรือปัญหาภัยแล้ง ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 18 – ต้นพุทธศตวรรษที่ 19  อันเป็นช่วงก่อนที่วัฒนธรรมสุโขทัย และอยุธยา จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำป่าสัก และมีการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานอยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องมาจนเท่าถึงปัจจุบัน

เมืองโบราณแห่งนี้มีลักษณะเป็นเมืองซ้อนเมือง แล้วมีเนินดินสูงล้อมรอบคล้ายกำแพงเมือง ด้านนอกของเนินดินเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบอีกหนึ่งชั้น การขุดค้นเมืองโบราณแห่งนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2521 โดย กรมศิลปากร และเป็นที่น่าแปลกใจของกรมศิลปากรเมื่อเห็นว่าภายในพื้นที่บริเวณเขตเมืองโบราณนั้นไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในเมืองโบราณเลย แต่กลับสร้างบ้าน และตั้งถิ่นฐานอยู่รอบนอกเขตเมืองโบราณเท่านั้น ซึ่งชาวบ้านทุกคนให้ความสำคัญและเคารพในพื้นที่เมืองโบราณ เพราะไม่ได้เป็นเพียงโบราณสถานเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมจิตใจที่ชาวบ้านต้องการที่จะรักษาภาพลักษณ์ และอนุรักษ์ไม่ให้พื้นที่เมืองโบราณนี้ไม่ถูกทำลายจากบุคคลภายนอก

บริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพในปัจจุบัน
มีสิ่งที่น่าสนใจ แบ่งเป็น 2 ส่วน 
ส่วนอาคารจัดแสดง และ ส่วนอุทยาน

  • ปรางค์สองพี่น้อง เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมร มีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐสององค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน หันหน้าไปทางทิศตะวันตก ทั้งสององค์ส่วนยอดพังทลายไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่องค์เล็กยังหลงเหลือทับหลังศิลาทรายที่มีสภาพสมบูรณ์ประดับอยู่ จำหลักเป็นรูปอุมามเหศวร(พระอิศวรอุ้มนางปารพตี (อุมา) ประทับนั่งอยู่เหนือโคอศุภราชหรือนนทิ)
  • เทวรูปพระอาทิตย์ หรือ สุริยเทพ ผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่างและความอบอุ่น สลักจากศิลาทรายอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 13 รวมทั้งหมดถึง 6  องค์ ปัจจุบันจัดแสดงและเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร  กรุงเทพมหานคร  จำนวน  3  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์นอร์ตัน  ไซมอน  สหรัฐอเมริกา  จำนวน  1  องค์  จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ  สมเด็จพระนารายณ์  จังหวัดลพบุรี  จำนวน  1  องค์ และเก็บรักษาไว้ที่อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ  จำนวน 1 องค์)  ซึ่งนับเป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในศาสนาฮินดูที่เคารพนับถือในพระอาทิตย์หรือสุริยเทพ อันจะมีพิธีกรรมบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับประเพณีมหาสงกรานต์ที่มีการพบเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน

  • ปรางค์ศรีเทพ เป็นสถาปัตยกรรมเนื่องในวัฒนธรรมเขมรมีลักษณะเป็นปราสาทที่ก่อด้วยอิฐตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดใหญ่ หันหน้าไปทางด้านตะวันตก ในแนวแกนเดียวกับปรางค์สองพี่น้อง จากลักษณะทางสถาปัตยกรรมและโบราณวัตถุที่พบโดยเฉพาะทับหลังทำให้อนุมานได้ว่าคงสร้างขึ้นเพื่อเป็นเทวาลัยเนื่องในศาสนาฮินดู(พราหมณ์) ลัทธิไศวนิกาย และต่อมาคงมีการพยายามซ่อมแซมดัดแปลงแต่ยังไม่แล้วเสร็จเพื่อใช้เป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ในรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่นเดียวกันกับปรางค์สองพี่น้อง เนื่องจากมีการพบชิ้นส่วนสถาปัตยกรรมที่เป็นเพียงโกลนอยู่เป็นจำนวนมาก

  • เขาคลังใน เป็นศาสนสถานสำคัญประจำเมืองที่มีขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี  ที่สร้างขึ้นพร้อมกับสมัยแรกสร้างเมืองในราวพุทธศตวรรษที่ 12  เพื่อเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิหินยานหรือเถรวาท แล้วต่อมาจึงได้มีการปรับเปลี่ยนเป็นศาสนสถานเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายาน  และคงใช้สอยตลอดมา จนกระทั่งเมืองถูกทิ้งร้างไป  มีลักษณะก่อด้วยศิลาแลง หันหน้าไปทางด้านทิศตะวันออก  บริเวณฐานด้านทิศใต้และตะวันตก ยังหลงเหลือประติมากรรมปูนปั้นรูปคนแคระที่มีศีรษะเป็นบุคคลหรือสัตว์ต่างๆ สลับกับรูปสัตว์ในท่าแบกประกอบลายพันธ์พฤกษา  ซึ่งพบและหลงเหลือประดับอยู่ที่ฐานโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมทวารวดีเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยปัจจุบัน

  • ศาลเจ้าพ่อศรีเทพ เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อศรีเทพ ซึ่งเป็นที่เคารพเชื่อถือของชาวอำเภอศรีเทพและบริเวณใกล้เคียงเป็นอย่างมาก โดยจะมีการจัดงานประเพณีบวงสรวงขึ้นทุกปีในระหว่างวันขึ้น 2 – 3 ค่ำ  เดือน 3 (ปลายเดือนมกราคม – ต้นเดือนกุมภาพันธ์)  ตัวศาลมีลักษณะเป็นอาคารไม้ทรงไทยสองหลัง  อาคารด้านหน้าใช้เป็นที่ประดิษฐานเจ้าพ่อศรีเทพ  ส่วนอาคารด้านหลังใช้เป็นอาคารเอนกประสงค์  สำหรับองค์เจ้าพ่อนั้นเดิม ได้ใช้ประติมากรรมรูปเคารพที่ได้จากเมืองโบราณศรีเทพมาประดิษฐานเป็นองค์สมมติ  ต่อมาองค์เจ้าพ่อนั้นได้ถูกโจรกรรมไป  ประชาชนที่เคารพนับถือจึงได้แกะสลักองค์เจ้าพ่อขึ้นใหม่ตามจินตนาการ และ ความเชื่อเพื่อใช้เป็นรูปเคารพประจำศาลเจ้าพ่อศรีเทพสืบมาจนถึงปัจจุบัน

  • เขาคลังนอก เป็นศาสนสถานขนาดใหญ่เนื่องในวัฒนธรรมทวารวดี สันนิษฐานว่ามีลักษณะเป็นมหาสถูป มีฐานขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ก่อด้วยศิลาแลงที่ยังคงสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ประดับตกแต่งฐานด้วยอาคารจำลองอยู่โดยรอบ ภายในทึบตัน มีบันไดทางขึ้นทั้ง 4 ด้าน มีสถูปก่อด้วยอิฐตั้งอยู่ด้านบนล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วและซุ้มประตู

  • ปรางค์ฤาษี เป็นเทวาลัยในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบเขมรโบราณ ตัวปราสาทก่อด้วยอิฐไม่สอปูน ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงขนาดไม่สูงนัก และมีอาคารขนาดเล็กในบริเวณเดียวกัน ล้อมรอบด้วยแนวกำแพงก่อด้วยศิลาแลง พบโบราณวัตถุเนื่องในศาสนาฮินดู ได้แก่ ศิวลึงค์ ฐานประติมากรรม และชิ้นส่วนโคนนทิ

❀ ที่อยู่ : เลขที่ 208 หมู่ 13 ตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ 67170
❀ โทรศัพท์ : 056-921 322
❀ วันและเวลาทำการ : เปิดทำการทุกวัน  เวลา 08.30-16.30 น.

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : https://www.museumthailand.com
» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com 

เที่ยวอยู่เมืองพัทยา แต่สวยอลังการเหมือนไปเมืองนอก ที่ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา”

“เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” ตกแต่งใน Theme : Lost world ออกแนว Jungle Adventure แค่ได้ฟัง Themed hotel ก็รู้สึกสนุกมีสีสันขึ้นมาเลย ขอบอกเลยว่าที่นี่อลังการมากกกก เล่นใหญ่หมดทุกสิ่ง แถมตั้งอยู่ในทำเลที่น่าอิจฉาที่สุด ติดชายหาดส่วนตัวยาวถึง 230 ม. พื้นที่ภายในโรงแรมใหญ่กว้างขวางมากๆ Facilities ครบครันทั้งสวนน้ำ สปา ฟิตเนส ร้านอาหาร Kids’club และยังมีห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยงต่างๆคือจัดเต็มสุด! บอกเลยว่าที่พูดมายังไม่เท่ามาเห็นด้วยตาตัวเองเลยนะจ๊ะ..

English version >> http://hotelandresortthailand.com/read/?p=48165

เริ่มตั้งแต่ทางเข้าโรงแรม ก็สวยอลังเวอร์ๆ

หากมองจากตรงนี้จะเห็นว่าทางเข้าเป็นเหมือนรูปเรือ เปรียบได้กับเรือที่จะพาแขกผู้เข้าพักไปร่วมผจญภัย และสร้างความสุขความสนุกด้วยกัน เก๋กู๊ดมากๆเลย

Zulu Family Club สำหรับแขกที่พักห้อง Room type แบบ club ขึ้นไป จะสามารถใช้บริการได้ค่ะ ภายใน club ก็จะมีพื้นที่นั่งทานอาหาร ห้องเล่นเกม และสไลเดอร์ ถูกอกถูกใจใจน้องๆหนูสุดๆเลยล่ะ

ระหว่างวันจะมี Midday Soup, Afternoon Tea, Pre-dinner Cocktails, และ Post-dinner Service ตามเวลาของทางโรงแรม เราไปถึงช่วง Afternoon Tea มีอาหารว่าง ขนม เบเกอรี่ ผลไม้สด เครื่องดื่มต่างๆทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลมให้บริการฟรี ปลื้มมากๆ

ห้องพักที่ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” มีทั้งหมด 555 ห้อง 19 ชั้น และทุกห้องหันหน้าออกสู่ทะเล มองเห็นวิวทะเลพัทยาได้แบบเต็มๆตา

เราได้พักห้อง Club Mirage Family Residence Suite กว้างถึง 78 ตร.ม จุดเด่นเลยคือมีการแบ่งห้องนอนชัดเจน มีทั้งห้องผู้ใหญ่ และห้องสำหรับเด็กเป็นเตียงสองชั้น ภายในห้องพักโปร่งโล่งสบายตา ตกแต่งในคอนเซ็ป Contemporary Thai Style สวยลงตัวทุกมุม มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

ห้องน้ำกว้างมาก แบ่งเป็นสัดส่วน อ่างอาบน้ำใหญ่ แช่ได้เพลินๆ ฟินมากกก

วิวจากห้องนี้คือที่สุด วิวสวยมากกกก ชอบจนไม่รู้จะอธิบายให้เห็นภาพตามได้ยังไงให้หมด ดีงามจริงๆนะ

มาถึงไฮไลท์ถ้ามาถึง “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” แล้วไม่ได้มาเล่นสวนน้ำถือว่าพลาด!! เพราะสวนน้ำที่นี่อลังการสะท้านฟ้ามากกกก จะแบ่งเป็นหลายโซน Monsoon, Main pool, Lazy River, สไลเดอร์, และสระเด็ก

ขอปิดท้ายด้วยห้องอาหารเช้าสุดหรู “OASIS” มีแต่เมนูพรีเมี่ยม บรรยากาศสวย จบพักเที่ยวพัทยาแบบแฮปปี้ฟินๆ

“เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” ได้รับรางวัลโรงแรมสำหรับครอบครัว อันดับหนึ่ง บน TripAdvisor บอกตามตรงเหมาะสมมาก จริงอยู่ที่ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” เป็น Family Resort แต่สำหรับเราถือว่าตอบโจทย์ทุกแบบทุกไลฟ์สไตล์นะ เพราะมีทุกอย่างครบจริงๆ เป็นโรงแรมในพัทยาที่อลังการที่สุดอีกที่เลยล่ะ มาพักแล้วเหมือนได้หลุดมาอยู่อีกโลก ได้บรรยากาศใหม่ๆ ดีงามมากๆ ไม่พิมพ์เยอะเจ็บนิ้วค่ะ ต้องมาพักด้วยตัวเองมาแล้วจะหลงรักที่นี่เหมือนเราแน่นอน

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 038-301234
❀ LINE@: @centaramirage
❀ อีเมลล์: cmbr@chr.co.th
❀ เวปไซต์: www.centarahotelsresorts.com/centaragrand/cmbr/
❀ เฟซบุ๊ค: Centara Grand Mirage Beach Resort Pattaya
❀อินสตาแกรม:  @centaramirage

» รีวิวโดย www.hotelandresortthailand.com

พัทยาทั้งที…ก็ต้องพักเที่ยวเกรดพรีเมียมแบบนี้สิ ที่ “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา”

อยากให้การพักเที่ยวในครั้งนี้เป็นการเที่ยวเพื่อพักผ่อนจริงๆ ได้ชาร์จแบตตัวเองให้พร้อมเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ที่ “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” คือจุดหมายค่ะ ที่เลือกพักที่นี่เพราะติดหาด วิวทะเลดี๊ดี สระว่ายน้ำสวย บรรยากาศหรูมากๆ ดีไซด์สวยโมเดิร์นทันสมัย ได้ฟิลแบบเหมือนมาพักรีสอร์ทหรูจ.ภูเก็ตเลยล่ะ แต่อ๊ะ..นี่เราอยู่พัทยานะจ๊ะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมพัทยาที่เกรดพรีเมียมสุดๆ แล้วคุณจะมองเมืองพัทยาเปลี่ยนไป…

English version >> http://hotelandresortthailand.com/read/?p=48160

“เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” ตั้งอยู่ที่จอมเทียน ขับรถจากตัวเมืองพัทยามานิดเดียวเองค่ะ ตัวโรงแรมจะหันหน้าออกสู่ทะเล สระว่ายน้ำที่ “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” ถือเป็นไฮไลท์เด็ดของที่นี่เลยนะคะ มีถึงสองสระแบ่งเป็น 2 ชั้น ทั้งหมดเป็นสระแบบ Infinity edge pool มองเห็นวิวทะเลแบบไร้สิ่งใดบดบัง และยังมีสระว่ายน้ำสำหรับน้องๆหนูๆอีกด้วย ตอบโจทย์หมดทุกอย่างเลย

จุดขายอีกหนึ่งอย่างก็คือห้องอาหารเช้า “609 Kitchen” บรรยากาศสวย หรูหรามากๆ ไลน์อาหารละลานตา น่าทานหมดทุกอย่าง แถมอร่อยสุดๆ

ห้องพักที่พักวันนี้เป็นวิวสระว่ายน้ำ ห้อง Deluxe Balcony

ภายในห้องพักกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์สวยมาก เตียงนุ่มน่านอน มีโซฟานั่งเล่น พร้อมระเบียงส่วนตัว ส่วนห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แบ่งออกเป็นสัดส่วน สิ่งของอำนวยความสะดวกมีมาให้ครบ

ส่วนห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แบ่งออกเป็นสัดส่วน สิ่งของอำนวยความสะดวกมีมาให้ครบ

อีกหนึ่งความประทับใจก็คือการบริการดีเยี่ยม และความน่ารักของพนักงาน ปลื้มมากๆเลยค่ะ “เรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา” เพอร์เฟคขนาดนี้ อยู่ใกล้ๆกทม.แค่พัทยา เดินทางง่ายมาก ต้องมาสัมผัสด้วยตัวคุณเองแล้วล่ะค่ะ ขอตัวไปเล่นน้ำชิลล์ๆ ถ่ายรูปเล่นชิคๆกับบรรยากาศสวยๆก่อนน๊า

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 038-259099
❀ อีเมลล์: reservations@renaissancepattaya.com
❀ เว็บไซต์: www.renaissancepattaya.com
❀ เฟซบุ๊ค: Renaissance Pattaya Resort & Spa
❀อินสตาแกรม: Renaissance Pattaya Resort&Spa

» รีวิวโดย www.hotelandresortthailand.com

แนบชิดธรรมชาติใกล้กรุง @บางสะพาน บรรยากาศกู๊ดๆ ที่ “บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” จ.ประจวบคีรีขันธ์

อำเภอบางสะพาน เป็นอำเภอเล็กๆในจังหวัดประจวบฯ อำเภอเล็กๆแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซุกซ่อนอยู่หลายแห่งเลยค่ะ แถมยังมีที่พักสวยๆ เหมาะกับการมาพักผ่อนใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ชิลๆมากมาย แต่ที่อยากแนะนำก็คือ “บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” บรรยากาศสวย รวยธรรมชาติ เป็นส่วนตัว วิวดีงาม ได้ไปพักแล้วฟิลกู๊ดแน่นอนค่ะ

“บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 13 ไร่ กลางหาดบ้านกรูด ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่นี่ได้รับการออกแบบผสมผสานให้เป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ เป็นรีสอร์ทที่เรียบง่าย คลาสสิค เหมาะกับการมาพักผ่อนมากที่สุด

ในส่วนของห้องพักมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

★ ห้องสแตนดาร์ด ห้องซูพีเรีย เป็นห้องพักบนอาคาร

★ ห้องดีลักซ์ วิลล่า ที่มีให้เลือกทั้งวิวสวนหรือวิวทะเล

★ ห้องดีลักซ์ พูลวิว เป็นห้องพักวิวสระน้ำ

★ ห้องดีลักซ์ พูลแอคเซส เป็นห้องติดสระว่ายน้ำ

★ ห้องซี ซี สวีท เป็นห้องสำหรับคู่รัก บรรยากาศโรแมนติก เห็นวิวทะเลบ้านกรูดได้แบบไร้สิ่งใดบดบัง

★ ห้องแฟมิลี่ พูล วิลล่า บ้านพักแบบ 4 ห้องนอน ไฮไลท์คือเป็นบ้านหลังใหญ่ มีสระว่ายน้ำส่วนตัว

★ ห้องแฟมิลี่ วิลล่า ท่ามกลางธรรมชาติ 2 ชั้น 3 ห้องนอน วิวสวนสวยๆ

★ ห้องแบ็ค ทู บราวน์ (2 ห้องนอน) สำหรับ 4 ท่าน ตกแต่งสวยคลาสสิคด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ค่ะ

ห้องพักทุกห้องพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เตียงนุ่มนอนสบาย และถูกตกแต่งอย่างสวยงาม

บรรยากาศโดยรอบที่ “บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” ถูกโอบดกอดไว้ด้วยความร่มรื่น เงียบสงบ เป็นส่วนตัว ได้แนบชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง ซึ่งเหมาะมากกับการมาผ่อนคลาย นอกจากนี้ที่นี่ยังพร้อมไปด้วยสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ สระจากุซซี่ สระว่ายน้ำเด็ก ห้องอาหาร ห้องประชุมสัมมนา คอฟฟี่ช็อป สปา สนามเด็กเล่น และมุมพักผ่อนหย่อนใจค่ะ

จุดเด่น “บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” อยู่ที่สามารถปั่นจักรยานรับลมชิลๆ ชมวิวทะเลสวยๆ บนถนนเลียบชายหาดเล็กๆที่ทอดยาวกว่า 10 กิโลเมตร มีทางปั่นจักรยานผ่านสวนมะพร้าวและชุมชน ซึมซับวีถีชีวิตพื้นบ้าน ชิมอาหารและสัมผัสบรรยากาศท้องถิ่น เรียกได้ว่า “บ้านกรูด อาเคเดีย รีสอร์ท แอนด์ สปา” เป็นที่พักใกล้กรุง ครบเครื่องอีกที่เลยก็ว่าได้ค่ะ เที่ยวเพลินๆ พักฟินๆ ใครที่มีแพลนกำลังจะไปพักเที่ยวบางสะพาน ลองดูที่นี่ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก รับรองความประทับใจค่ะ

♥ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ♥
❀ ที่ตั้ง: 333/2 หมู่ที่ 3 ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
❀ หมายเลขโทรศัพท์: 032-695095, 080-6509393
❀ Line: 0806509393
❀ อีเมลล์: info@bgaresort.com
❀ เว็บไซต์: www.bgaresort.com
❀ เฟสบุ๊ค:  http://www.facebook.com/BaanGrood.Arcadia.Resort.Spa.Thailand
❀ อินสตาแกรม: baan_grood_arcadia

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com