ติดเที่ยวใจจะขาด ทยอยไปเที่ยว 10 หาดนี้ดีกว่า

 

ช่วงนี้หลายคนคงไปเที่ยวพักผ่อนที่ทะเลบ่อยๆ ก็คงไม่แปลกสินะด้วยอากาศที่ร้อนแบบนี้ แต่หากใครยังไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวทะเลไหนดี หรือกำลังมองหน้าสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเช่น ทะเลหาดสวยๆ น้ำใสๆ ทรายสีขาวละเอียดละก็ วันนี้ทาง Hotelandresortthailand มีทะเลสวยๆ ของเมืองไทยมาแนะนำกันค่ะ เผื่อจะเป็นตัวเลือกให้ออกเดินทางไปสัมผัสกัน ลองไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่ามีทะเลไหนถูกใจกันบ้าง

 

1. หาดทรายขาว จังหวัดตราด

1--1

1--2

หาดทรายขาว แห่งนี้มีความยาวกว่า 6 กิโลเมตร และเม็ดทรายที่ถูกพิสูจน์ด้วยสายตาของนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลแล้วว่าเป็นเม็ดทรายที่ขาวละเอียดกว่าหาดอื่นๆ บนเกาะช้าง จึงเป็นที่มาของชื่อ “หาดทรายขาว” จึงกลายจุดเล่นน้ำและนั่งชิลกับความสวยงามของท้องทะเลอีกจุดหนึ่งของเกาะช้าง จังหวัดตราด แถมที่นี่ยังมีกิจกรรมหลากหลายมากมายให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสนานกัน อาทิเช่น เดินเที่ยวป่า นั่งช้างชมธรรมชาติ ดำน้ำดูปะการัง หรือจะเล่นน้ำทะเลสีฟ้าที่ใสแจ๋วบนหาดแห่งนี้ก็ได้ตามสบาย แต่อาจจะต้องระมัดระวังนิดหน่อยด้วย เนื่องจากระดับความตื้นลึกของน้ำทะเลบนหาดทรายขาวแห่งนี้ค่อนข้างต่างระดับกันอยู่บ้าง

 

2. อ่าวมาหยา จังหวัดกระบี่

2--2

2--1

2--3

อ่าวมาหยา ตั้งอยู่บนเกาะพีพีเล ถือได้ว่าเป็นทะเลที่มีความสวยงดงามจับใจไม่แพ้ทะเลที่มีชื่อเสียงที่อื่นๆ ในโบก แต่อ่าวมาหยาเพิ่งมาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สามารถเรียกนักท่องเที่ยวให้มาเยือนอ่าวมาหยาไม่ขาดสายโดยเฉพาะช่วงที่มีกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บีช (The Beach) ที่แสดงนำโดยพระเอกหนุ่มอย่าง ลีโอนาโด ดิคาบริโอ ที่ยกกองมาถ่ายทำฉากในหนังที่อ่าวมาหยาแห่งนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบรรยากาศของสถานที่ที่รายล้อมไปด้วยเขาหินปูน ตัวอ่าวมีลักษณะคล้ายเป็นรูปเสี้ยวพระจันทร์ น้ำทะเลมีสีเขียวสดใสดั่งมรกต ตัดผ่านกับหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์เหมือนผงแป้ง ที่เรียกร้องให้นักท่องเที่ยวอยากมาสัมผัสบรรยากาศที่ท้องทะเลแสนงดงามแห่งนี้ด้วยตาตัวเอง

 

3. หาดพระนาง จังหวัดกระบี่

3--1

3--2

3--3

3--4

3--5

หาดพระนาง นับว่าเป็นหาดทรายที่มีความสวยงดงามติดอันดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ส่วนไฮไลท์ที่สำคัญอยู่ที่ถ้ำพระนาง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามตำนานความรักเก่าแก่ที่เล่าขานกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกอีกมากมาย อาทิเช่น กิจกรรมปีนเขา พร้อมด้วยครูฝึกสอนที่มีความชำนาญสำหรับนักปีนเขามือใหม่ รวมทั้งสามารถดื่มด่ำไปกับหาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลสีฟ้าใสแจ๋ว และธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม อาจจะเพราะหาดพระนางแห่งนี้เป็นเกาะที่ต้องนั่งเรือเข้าไป จึงทำไมยังไม่โดนฝีมือมนุษย์ทำลายธรรมชาติเท่ากันหาดที่ติดถนนอื่นๆ

 

4. หาดป่าตอง จังหวัดภูเก็ต

4--1

4--2

4--3

แค่เอ่ยชื่อ หาดป่าตอง ทุกคนก็คงรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะมีหาดทรายที่ขาวทอดยาวกว่า 3.5 กิโลเมตรแล้ว ยังมีน้ำทะเลใสดั่งกระจกที่สะอาดให้ลงเล่นดับความร้อนกันอีกด้วย แถมนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบปาร์ตี้สุดเหวี่ยงหรือความบันเทิงที่ครบทุกรูปแบบ หาดป่าตองแห่งนี้ก็มีจัดให้คุณได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลยทีเดียว หรืออาจใครสนใจกิจกรรมแอคเวนเจอร์อย่างการเล่นสกี หรือดำน้ำชมหมู่ฝูงปลา ปะการัง ก็มีไว้คอบบริการเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นหาดที่พร้อมสรรพไปด้วยความสะดวกสบายอีกแห่งหนึ่ง

 

5. หาดริ้น จังหวัดสุราษฎร์ธานี

5--1

นักท่องเที่ยวรู้จักหาดริ้นเป็นอย่างดีในเรื่องสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้  งานปาร์ตี้สุดเหวี่ยงของบรรดาวัยรุ่นและนักดื่มทุกท่าน แต่นอกจากจะเป็นสถานที่จัดงานปาร์ตี้ชื่อดังก้องโลกแล้ว หาดริ้นยังมีทัศนียภาพที่สวยงดงามตัวหาดมีภูเขาแบ่งกั้นน้ำทะเลออกเป็นสองฟากฝั่ง มีจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นและตกในบริเวณเดียวกัน รวมทั้งบนหาดริ้นยังมีความบันเทิง ที่พัก และร้านค้ามากมานให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมอย่างเต็มอิ่ม จนสนุกสนานลืมเวลาบนหาดริ้นที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ไปได้เลย

 

6. อ่าวประมง จังหวัดสตูล

6--1

6--2

อ่าวประมง หรือ Sunset Beach เป็นส่วนหนึ่งของเกาะหลีเป๊ะ จังหวัดสตูล เป็นเกาะขนาดเล็กที่มีความเงียบสงบมาก ส่วนไฮไลท์ที่สำคัญคือ จุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่มาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นความสวยงามที่หาคำบรรยายไม่ได้ ส่วนบรรยากาศรอบๆ ต้องบอกเลยว่าเด็ดไม่แพ้กันเลยค่ะ เพราะนอกเกาะจะถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขาที่เขียวชอุ่มแล้ว ยังมีหาดทรายสีขาวเนื้อละเอียดยื่นออกไปอีกด้วย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ยลโฉมและถ่ายรูปสวยๆ ท่ามกลางน้ำทะเลสีฟ้าสดใสอีกด้วย

 

7. หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

7--1

7--2

7--3

หัวหิน จัดว่าเป็นสถานที่ใกล้กรุงเทพฯ ที่ใครไม่อยากเดินทางท่องเที่ยวไกลๆ รวมถึงมีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา หัวหินจึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งที่คุณสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศท้องทะเลอันกว้างขวางสุดสายตา สายลมทะเลที่โชยชิลผ่านหาดทรายยาวกว่า 8 กิโลเมตร อีกทั้งหัวหินยังมีความพิเศษตรงที่มีบรรยากาศ 2 สไตล์ ให้คุณได้สัมผัสในเวลาเดียวกัน โดยที่ฟากหนึ่งเป็นทะเลบวกกับธรรมชาติที่สวยงาม ส่วนอีกฟากเป็นวิถีชีวิตของคนเมือง มีทั้งตลาดโต้รุ่งพร้อมของกินแสนอร่อยละลานตา ตึกรามบ้านช่อง โรงแรมรีสอร์ท ทุกระดับชั้นที่รอให้บริการคุณตลลอด 24 ชั่วโมง จัดได้ว่าเป็นทะเลที่สวยงามใกล้กรุงเทพฯ ที่มีความสะดวกสบายที่สุดอีกแห่งหนึ่งก็ว่าได้

 

8. หาดทรายรี จังหวัดชุมพร

8--1

หาดทรายรี เป็นส่วนหนึ่งของเกาะเต่า ทะเลที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศไทย จุดเด่นของหาดทรายรีอยู่ที่หาดทรายสีขาวละเอียดดั่งแป้งขาวละเอียดตลอดระยะทางกว่า 1.6 กิโลเมตร น้ำทะเลมีสีฟ้าใสแจ๋ว ส่วนริมชายหาดที่ต้นมะพร้าวสามารถเพิ่มบรรยากาศให้ท้องทะเลให้มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น อีกทั้งบนเกาะแห่งนี้ยังมีไนต์คลับและบาร์ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย หรือคนที่ชื่นชอบการผจญภัยใต้น้ำ ทางเกาะเต่าก็มีบริการดำน้ำดูหมู่ฝูงปลาน้อยใหญ่ ปะการังหลากสีสันให้ร่วมเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวอีกด้วย

 

9. หาดละไม จังหวัดสุราษฎร์ธานี

9--1

9--2

สำหรับใครที่อยากเที่ยวทะเลแบบเงียบสงบ รวมไปถึงสัมผัสบรรยากาศสบายๆ จากทะเลแบบเต็มอิ่มโดยที่ไม่ต้องแก่งแย่งกับใครที่ไหน หาดละไมสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้เป็นอย่างดีทีเดียว หาดละไม ตั้งอยู่บนเกาะสมุยนับได้ว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย แม้จะมีหาดทรายที่ไม่กว้างขวางเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าเป็นหาดที่สะอาดสะอ้าน เงียบสงบ น้ำทะเลก็เป็นสีฟ้าสดใส แถมยังมีกิจกรรมพายเรือคายัก เรือใบ ร้านอาหาร บาร์ ร้านค้า และที่พักมากมายไว้รองรับนักท่องเที่ยวอย่างพร้อมสรรพ

 

10. เกาะนางยวน จังหวัดสุราษฎร์ธานี

10--4

10--2

10--3

10--1

เกาะนางยวน นับได้ว่าเป็นเกาะที่มีความสวยอันดับต้นๆ ของโลกเลยทีเดียว แม้ว่าเป็นเกาะขนาดเล็กๆ แต่มีความพิเศษตรงที่เชื่อมต่อระหว่างเกาะเล็กๆ ทั้งสามด้วยหาดทรายสีขาวละเอียดนุ่มเท้า มองดูเผินๆ ก็เหมือนกันสะพานหาดทรายที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ให้มนุษย์ทึ่งกับความงดงาม นอกจากนี้แล้วบนเกาะนางยวนยังมีจุดชมวิวไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าและพระอาทิตย์ตกในยามเย็นไว้คอยบริการด้วย ส่วนน้ำทะเลและหาดทรายคงไม่ต้องบรรยายหรอกเนอะ เพราะแค่พิสูจน์ด้วยภาพก็อยากไปเยือนใจจะขาดอยู่แล้ว

 

 

ท่านคงได้ชื่นชอบกับท้องทะเลแสนสวยทั้ง 10 ที่ในประเทศไทยมาแล้ว ตอนนี้คงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่า จะออกไปสัมผัสทะเลไหนในช่วงวันหยุดนี้ เพราะทั้งหมดที่ได้แนะนำไปก็น่าสนใจไม่เบาเลยทีเดียว เอาเป็นว่าอย่าลืมออกเดินทางไปสัมผัสกันนะคะ และยังถือว่าเป็นการร่วมค้นหาเสน่ห์ของเมืองไทยอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

กินลม ชมสะพานกับ 8 สะพานไม้แสนคลาสสิคในไทย

 

หากจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายคนคงนึกถึงสถานที่ต่างๆ ทั้งสถานที่สำคัญหรือไม่ก็สถานที่ซึ่งมีความสวยงดงาม แต่ใครจะรู้ว่า สะพายสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศดีๆ ก็ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจได้เช่นกัน และวันนี้ขอพาทุกท่านไปชื่นชมความสวยงามของสะพานไม้ในแดนสยามกันค่ะ ซึ่งนอกจากความเป็นมาของแต่ละสะพานจะได้รับความน่าสนใจแล้ว บรรยากาศรอบๆ ด้านยังคงงดงามเหมาะแก่การมาเยี่ยมเยือนมากทีเดียว ล่วนจะเป็นสะพานที่ไหนบ้างลองไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ

 

1--1

1--2

1--3

สะพานแขวนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี

สะพานแขวนแก่งกระจาน ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่มีพื้นที่ครอบคลุมอำเภอหนองหญ้าปล้อง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นอุทยานที่มีพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย ด้วยสภาพพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์รวมถึงเป็นป่าต้นน้ำของแม่น้ำเพชรบุรีและแม่น้ำปราณบุรี แถมยังมีลักษณะเด่นๆ ทางธรรมชาติที่สำคัญอยู่หลายแห่ง อาทิเช่น ทะเลสาบ น้ำตก ถ้ำ หนน้าผาที่สวยงาม รวมไปถึงสะพานไม้ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากๆ ในแก่งกระจาน โดนเฉพาะในช่วงฤดูหนาวนักท่องเที่ยวสามารถชื่นชมทะเลหมอกสวยๆ ได้จากสะพานไม้แห่งนี้อีกด้วย

 

2--2

2--3

2--4

2--5

สะพานซูตองเป้ จังหวัดแม่ฮ่องสอน

สะพานซูตองเป้ เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของพระ เณร และชาวบ้านในบริเวณนั้นได้ร่วมกันสร้างสะพานแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็นเส้นทางสำหรับการเดินทางไปทำบุญหรือปฏิบัติธรรมที่สวนธรรมภูสมะ และคำว่า “ซูตองเป้” เป็นภาษาไทยมีความหมายถึง “อธิษฐานสำเร็จ” สะพานแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยเสน่ห์และมนตร์ขลัง นอกจากนี้ไฮไลท์ที่สำคัญเมื่อได้มาเยือนสะพานซูตองเป้คือ วิวสวยๆ สองข้างทางที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทุ่งนาสีเขียวอันเขียวขจีซึ่งสร้างความสดชื่นให้แก่ผู้มาเยือนได้เป็นอย่างมาก

 

3--1

3--2

สะพานไม้ข้ามหนองแกดำ จังหวัดมหาสารคาม

สะพานไม้ข้ามหนองแกดำ ถือได้ว่าเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดมหาสารคาม มีความยาวเกือบๆ 1 กิโลเมตร ทัศนียภาพโดยรอบเต็มไปความสวยงดงามของบึงบัวที่เป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ในยามเข้าอากาศค่อนข้างสดชื่นเย็นสบายเหมาะแก่การเที่ยวพักผ่อนหรือสามารถถ่ายภาพสวยๆ ได้อีกด้วย และในช่วงที่ดอกบัวพร้อมใจกันเบ่งบานเป็นสีชมพู ทำให้สะพานไม้แห่งนี้อบอวลไปด้วยความโรแมนติกสุดๆ

 

4--1

4--2

4--3

4--4

สะพานไม้ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส จังหวัดระยอง

สะพานไม้ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส ตั้งอยู่ที่ตำบลปากน้ำประแส ซึ่งเป็นชุมชนริมแม่น้ำตั้งแต่สมัยอยุธยา บริเวณนี้นับได้ว่าเป็นจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากอีกแห่งหนึ่ง ได้แก่ ชายหาดแหลมสน ชายหาดประแส รวมไปถึงสะพานไม้ชมป่าชายเลน ทุ่งโปรงทอง ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ถูกสร้างจากเงินกองทุนหมู่บ้าน และทอดแนวยาวลัดเลาะไปตามแนวต้นโกงกาง และไปบรรจบกับปลายสะพานทุ่งโปรงทอง โดยที่สะพานแห่งนี้ทอดยาวไปสิ้นสุดที่ทะเลประแส แถมในยามค่ำคืนบริเวณใกล้เคียงยังเป็นสถานที่ชมหิ่งห้อยอีกด้วย

 

5--1

5--2

5--3

สะพานมอญ สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี

สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ “สะพานมอญ” ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยดำริของ หลวงพ่ออุตตมะ เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ในปี พ.ศ. 2529 – 2530 โดยการสร้างสะพานแห่งนี้ใช้แรงงานชาวมอญ เพื่อเป็นสะพานข้ามแม่น้ำซองกาเรีย รวมไปถึงยังใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาของชาวมอญและชาววไทยที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอีกด้วย และในปัจจุบันก็ได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี

 

6--1

6--2

6--3

สะพานไม้บึงบัว เขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สะพานไม้บึงบัว แห่งนี้ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด มีลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาหินปูนที่ทอดตัวเป็นแนวยาวขนานไปกับชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติทั้งหาดทราย หาดเลนโคลน เวิ้งอ่าว ป่าชายเลน ลำคลอง ทุ่งน้ำจืดธรรมชาติ รวมไปถึงบึงบัวขนาดใหญ่ ที่นี่จึงกลายเป็นแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ของเหล่านกน้ำ นกชายเลน และนกทะเล รวมไปถึงสามารถพบนกในพื้นที่กว่า 300 ชนิดได้อีกด้วย และจุดชมวิวสวยๆ อยู่บริเวณ “สะพานไม้บึงบัว” โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกบัวหลวงบานสะพรั่งเต็มที่ทั่วทุ่ง สะพานไม้แห่งนี้ยิ่งงดงามราวกับดินแดนในเทพนิยายเลยทีเดียว

 

7--1

7--2

7--3

สะพานข้ามลำน้ำงาว หรือสะพานโยง จังหวัดลำปาง

สะพานข้ามลำน้ำงาว หรือสะพานโยง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2469 และเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2471 โดยที่ตัวสะพานมีความยาว 80 เมตร กว้าง 4 เมตร เสากระโดงสองฝั่งสูง 18 เมตร ซึ่งนับได้ว่าเป็นสะพานเหล็กแขวนที่ใช้รอกดึง ไม่มีเสากลาง วางโครงเหล็กเหมือนทางรถไฟโดยใช้ไม้หมอนเรียงเป็นลูกระนาด ปูไม้กระดาษทับเฉพาะช่วงล้อรถยนต์ มีทางเดินเท้าทั้งสองฝั่ง และใช้สลิงยึดตลอดตัวสะพาน ซึ่งในปัจจุบันนี้เปิดให้เฉพาะการเดินข้ามฟากเท่านั้น ไม่อนุญาตให้นำรถยนต์หรือรถเตอร์ไซต์ผ่านโดนเด็ดขาด เนื่องจากจะทำการให้ตัวสะพานชำรุดเสียหายได้

 

8--1

8--2

สะพานแขวนสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี จังหวัดตาก

สะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี หรือเรียกว่า “สะพานแขวน” ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดตาก เพื่อสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี โดยมีขนาดกว้าง 2.50 เมตร และยาว 700 เมตร เพื่อเชื่อมไปยังเมืองตากกับตำบลป่ามะม่วง ซึ่งบนสะพานยังมีทางเท้าไว้สำหรับเดินชมทิวทัศน์แม่น้ำปิงอีกด้วยในระยะทางยาวประมาณ 400 เมตร รวมไปถึงมีการประดับไฟให้สวยงามในยามค่ำคืน อีกทั้งยังเป็นจุดสำคัญสำหรับจัดงานประเพณีลอยกระทงโดยเป็นกระทงที่ทำมาจากะลามะพร้าวไปตามแม่น้ำปิง ซึ่งในช่วงประเพณีดังกล่าวจะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนสะพานแขวนสมโภชฯ กันอย่างเนืองแน่เลยทีเดียว

 

 

เชื่อเลยว่ายังมีนักท่องเที่ยวอีกหมายคนที่ยังไม่เคยเห็นเมืองไทยในมุมแบบนี้มาก่อน รวมทั้งสะพานสวยๆ เหล่านี้ด้วยที่ควรค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนอย่างมาก เพราะนอกจากบรรยากาศรอบด้านที่แสนสดชื่นและความเป็นธรรมชาติของพื้นที่แล้ว ยังถือได้ว่าหาแบ็คกราวด์สวยๆ ในการถ่ายภาพอีกด้วย ถือได้ว่าเป็น Unseen ที่ไม่ควรพลาดแก่การเป็นเยือนอย่างยิ่ง

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

ทะเลหมอกแห่งฝั่งอันดามัน “เขาไข่นุ้ย” จ.พังงา

 

649-ทะเลหมอก11

 

ใครๆ มักจะบอกว่า “ถ้าอยากชมทะเลหมอก ต้องขึ้นไปดอยสูงภาคเหนือ ไม่ก็ภาคตะวันตก” แต่นักท่องเที่ยวบางคนลืมไปแล้วว่าทางภาคใต้ก็มีทะเลหมอกให้ยลโยมได้ไม่แพ้ที่อื่นๆ เลยทีเดียว อย่างเช่น “เขาไข่นุ้ย” หรือ “ภูไข่นุ้ย” จังหวัดพังงา  นับว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดที่รอให้นักท่องเที่ยวมาเยือน

 

650-ทะเลหมอก12

654-พระอาทิตย์ขึ้น19

 

เขาไข่นุ้ย ตั้งอยู่ที่บ้านฝายท่า ต.ทุ่งมะพร้าว อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เป็นจุดชมทะเลหมอกฝั่งอันดามันที่มีชื่อเสียงอีกจุดหนึ่งของภาคใต้ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน โดยเขาไข่นุ้ยมีความสูงประมาณ 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนยอดเขาไข่นุ้ยจะมีจุดชมวิวทะเลหมอกที่สามารถมองเห็นได้ในมุมกว้างไกล ส่วนจุดด้านล่างจะมีต้นไม้ขึ้นเป็นฉากหน้า สามารถมองลงไปเห็นทะเลหมอกสีขาวคลอเคลียปกคลุมทิวเขาน้อยใหญ่ โดยที่มีเขาลูกสูงไล่ระดับเป็นมิติสลับซ้อนกันไปมา เมื่อแสงพระอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องกระทบกับทะเลหมอกที่ลอยอยู่เบื้องล่างนับเป็นภาพที่สวยงดงามเกินคำบรรยาย สำหรับกลุ่มเขาลูกน้อยใหญ่ที่เห็นเบื้องหน้า มีแนวเขาลำแก่น เขากะปง เขาพังงา และแนวเทือกเขาภูตาจอที่ตั้งอยู่ตระหง่านในแนวหลังสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัดสุดๆ สำหรับชื่อที่มาของ “เขาไข่นุ้ย” นี้ตั้งตามชื่อคนที่ค้นพบ คือบังไข่กับบังนุ้ย ซึ่งแต่ก่อนเขาลูกนี้ไม่มีชื่อเรียกที่เป็นทางการ เป็นพื้นที่สวนยางของชาวบ้านบริเวณนั้น บังไข่ หรือ “ศักดิ์ แคล่วคลอง” มีพื้นที่สวนยางอยู่ทางฝั่งตะวันตกหรือฝั่งทะเลอันดามัน ส่วนบังนุ้ย หรือ “นุ้ย นิ่งราวี” มีพื้นที่สวนยางอยู่ทางฝั่งตะวันออกหรือฝั่งภูตาจอ จากนั้นเมื่อไม่นานมานักได้มีนักศึกษาจากลาดกระบังมาทำกิจกรรมแล้วพักค้างแรมอยู่ในชุมชน บังทั้งคู่ก็ได้นำนักศึกษาเหล่านั้นขึ้นไปชมทะเลหมอกบนยอดเขา นักศึกษาจึงตั้งชื่อเขาลูกนี้ว่า “ภูไข่นุ้ย” ตามชื่อเล่นของบังไข่และบังนุ้ย ซึ่งมีพื้นที่สวนยางอยู่ติดกับพื้นที่ยอดเขา เมื่อเขาลูกนี้เปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวจุดชมทะเลหมอกอันสวยงดงามแห่งใหม่ของภาคใต้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดพังงาก็ได้มีโอกาสมาสำรวจพื้นที่ยอดเขาลูกนี้ เพื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวแห่งใหม่ จึงได้เสนอแนะให้ทาง อบต.ทุ่งมะพร้าว ว่าน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น “เขาไข่นุ้ย” เพราะชื่อภูนั้นฟังออกไปทางภาคอีสานหรือภาคเหนือซะมากกว่า

 

645-ถ่ายภาพ6

653-พระอาทิตย์ขึ้น14

643-กิจกรรมถ่ายภาพ3

 

เขาไข่นุ้ยแห่งนี้ยังมี 5 สิ่งมหัศจรรย์ที่ไม่แพ้ดอยหรือภูทางตอนบนของประเทศ หรือที่อื่นๆ เลย นั่นก็คือ 1.พระอาทิตย์ขึ้น 2.พระอาทิตย์ตก 3.ทะเลหมอก 4.ทะเลอันดามัน และ 5.วิวทิวเขา ที่เรียงรายสวยงามโดดเด่นเป็นตระหง่านจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน แถมยังมีอากาศที่เย็นสบายคล้ายภาคเหนือ จึงไม่แปลกที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชื่นชมความงดงามและความโรแมนติกของสถานที่แห่งนี้

 

646-ทะเลดาว

652-พระอาทิตย์ขึ้น4

 

ดังนั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้ร่วมผลักดันให้ เขาไข่นุ้ย เป็นจุดชมทะเลหมอกของภาคใต้ ซึ่งในเวลานี้กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะมีทะเลหมอกให้ชมตลอดทั้งปี ไม่เว้นแม้แต่ฤดูร้อน หากจะเดินมาชมทะเลหมอกแนะนำให้มาในช่วงที่มีคลื่นทะแลสงบเท่านั้น นักท่องเที่ยวถึงจะได้เห็นปุยสีขาวของทะเลหมอกบนเขาไข่นุ้ยแห่งนี้ได้อย่างชัดเจน

 

648-ทะเลหมอก9

 

สำหรับการเดินทางไปยังเขาไข่นุ้ยนั้น นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อสอบถามที่ อบต.ทุ่งมะพร้าว ได้เลย เนื่องจากเขาไข่นุ้ยอยู่ห่างจากที่ทำการ อบต.ทุ่งมะพร้าว เพียง 4 กิโลเมตร แต่ด้วยเป็นถนนลูกรัง 3 กิโลเมตร การเดินทางจึงต้องใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้นไป เพราะมี 2 ช่วงสุดท้ายก่อนถึงนั้นไม่ได้มีการปรับถนนเส้นทางจึงมีความลาดชันมาก แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น โดยที่นักท่องเที่ยวต้องมาต่อรถเปลี่ยนเป็นรถโฟรวิว ที่ทาง อบต.ทุ่งมะพร้าว จัดเตรียมไว้ให้ แล้วเดินทางขึ้นสู่ยอดเขาในอัตราค่าบริการรถขึ้น – ลง หากเหมาทั้งคันคิดคันละ 600 บาท นั่งได้ 6 ท่าน หรือถ้ามีจำนวนที่มากกว่านั้นเช่น 10 คนจะคิดราคา 800 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ต้องการจะเหมาด้วย

 

647-ทะเลหมอก4

644-ถ่ายภาพ3

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งมะพร้าว

ตามรอยภาพยนตร์รักจัง ฟังเสียงธาร ที่ “น้ำตกผาดอกเสี้ยว”

 

G7505590-21

 

ถ้ากล่าวถึง อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือที่หลายๆ คนมักเรียกสั้นๆ ว่า ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ที่ได้รับความกล่าวขานในเรื่องความสวยงดงามของธรรมชาติ น้ำตก ทิวเขา หรือแม้กระทั่งความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า

 

แต่วันนี้ขอพานักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติออกไปสัมผัสความงดงามแห่งหนึ่งของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และสถานที่แห่งนี้เคยเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์ไทยแนวโรแมนติคอย่างเรื่อง “รักจัง” ที่นำแสดงโดย ฟิลม์ รัฐภูมิ และพอลล่า เทเลอร์ หลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ออกฉายแล้วนั้น สถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ได้รับความนิยมมากจนถึงปัจจุบันนี้สำหรับผู้ที่รักและชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ใช่แล้วค่ะ!! กำลังเอ่ยถึง “น้ำตกผาดอกเสี้ยว” หรือ “น้ำตกรักจัง” ที่หลายคนนิยมเรียกตามชื่อของภาพยนตร์ดังกล่าว น้ำตกผาดอกเสี้ยว ตั้งอยู่ที่บ้านแม่กลางหลวง ตำบลบ้านหลวง อำเภอจองทอง จังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์

 

G7505590-20

211620-50cc9a0eb8717

 

น้ำตกผาดอกเสี้ยว เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงดงามมากอีกแห่งหนึ่ง ที่ถูกหลบซ้อนสายตาจากนักท่องเที่ยว และภายใต้ความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าแห่งนี้ เพราะการที่จะเข้าไปพิสูจน์ความงดงามของน้ำตกผาดอกเสี้ยวได้นั้น จะต้องเดินเท้าเข้าไปจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 1 กิโลเมตร จึงจะสามารถพบกับน้ำตกผาดอกเสี้ยวในชั้นแรกได้

 

1a19a3bb040ee537503421ae826b8a50

fa48089e3b1335cd4c8634e0087238c8

646803-img-1355560004-15

 

น้ำตกผาดอกเสี้ยว หรือ น้ำตกรักจัง มีทั้งหมด 10 ชั้น แต่นักท่องเที่ยวสามารถเดินเยี่ยมชมได้เพียง 3 ชั้นเท่านั้น ได้แก่ ชั้นที่ 7, 8 และชั้นที่ 9  ส่วนชั้นที่ 10 อยู่เหนือเส้นทางเดินขึ้นไปในแปลงดอกเบญจมาศของชาวบ้าน และในชั้นที่ 6 ได้ถูกปิดเส้นทางไม่ให้มีการผ่านเนื่องจากชั้นนี้มีความอันตรายมาก เส้นทางการเดินส่วนใหญ่เป็นทางราบ ยกเว้นช่วงใกล้น้ำตกจะมีความลาดชัน แต่ไม่มากยกเว้นบางช่วงที่ค่อนข้างชันมากเป็นพิเศษต้องใช้ความระมัดระวังให้กันเดิน ส่วนชั้นที่เป็นไฮไลท์ที่ได้ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องรักจังคือชั้นที่ 7 ที่มีสะพานไม้ทอดตัวอยู่ด้านหน้าน้ำตก และด้วยสายน้ำจากน้ำตกชั้นบนที่ไหลตกลงมากระทบกับน้ำตกชั้นล่างที่มีความสูงประมาณ 20 เมตร จนเกิดเป็นสายน้ำสีขาว ฟูฟ่อง งดงามเกินคำบรรยาย  อีกทั้งยังมีสะพานไม้ไว้ให้นักท่องเที่ยวเดินข้ามลำธารที่ช่วยทำให้ความสวยงดงามของน้ำตกผาดอกเสี้ยว น่ามองเข้าไปอีกตามแบบฉบับที่ได้ชมในภาพยนตร์เรื่อง รักจัง ส่วนที่มาของชื่อ น้ำตกผาดอกเสี้ยว มาจากชื่อ ต้นเสี้ยว ซึ่งเป็นไม้เด่นบริเวณน้ำตกนั่นเอง

 

1382586075-MG0159-o

e2c92f0f411fa587d4f37d07f80fb52f

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมความสวยงามของน้ำตกผาดอกเสี้ยว แล้ว ยังได้ศึกษาและชื่นชมธรรมชาติตลอดสองข้างทางได้ เพลิดเพลินไปกับนาขั้นบันไดบ้านแม่กลางหลวงที่หาชมได้ยากเต็มที รวมไปถึงวิถีชีวิตของชาวปกาเกอญอ ที่เลื่องชื่อในด้านการอนุรักษ์อีกด้วย นอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังมีโอกาสแวะชมไร่กาแฟอราบริกา พร้อมแวะชิมกาแฟแม่กลางหลวงในลักษณะการชงแบบพื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ซึ่งเกิดจาการคั่วบดเอง หากได้ลองชิมแล้วติดใจก็สามารถหาซื้อเมล็ดกาแฟกลับไปได้ด้วยเช่นกัน ส่วนดงดอกเสี้ยวซึ่งเป็นที่มาของชื่อน้ำตกผาดอกเสี้ยวนั้น จะอยู่ไม่ไกลจากบริเวณน้ำตกมากนัก โดยจะออกดอกให้ชมในเดือนเมษายนของทุกปี

 

1384691089-SCL3723111-o

1384691115-SCL3711-o

1384691176-SCL3616-o

121129110831893

 

การเดินทาง

  • การเดินทางโดนรถยนต์ส่วนตัว : สามารถเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ ตามเส้นทางหลวงหมายเลข 108 (เชียงใหม่ – ฮอด) ผ่านอำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง ไปยังอำเภอจอมทอง ก่อนถึงอำเภอจอมทองประมาณ 2 กิโลเมตร ให้เลี้ยวขวาตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009 (จอมทอง – ดอยอินทนนท์) อีกประมาณ 26 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่บ้านแม่กลางหลวง และสามารถเดินเท้าไปยังน้ำตกผาดอกเสี้ยว ได้เลย โดยเริ่มจากที่แม่กลางหลวง
  • การเดินทางโดยรถประจำทาง :

– จากกรุงเทพฯ นั่งรถสาย กทม. – จอมทอง ซึ่งมีทั้งรถ ปอ.1 และ ปอ.2 หลังจากนั้นให้ต่อรถสองแถวที่อำเภอจอมทอง

– จากจอมทอง นั่งรถสอยจอมทอง – แม่แจ่ม เป็นรถสองแถวสีเหลือง คิวรถจะอยู่ที่ข้างวัดพระธาตุศรีจอมทอง โดยที่รถจะออกก็ต่อเมื่อผู้โดยสารเต็ม รถจะผ่านเข้าเส้นทางไปอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ แล้วบอกคนขับว่า ลง กม. ที่ 26 บ้านแม่กลางหลวง หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในหมู่บ้านอีกประมาณ 500 เมตรก็จะถึงบ้านแม่กลางหลวง

 54eb1b7984c41c6e9adc3bcb7c2fb361

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก :  Nai_Sailom , Lek thongkham , Voraphon Jaraskittikorn , kairatfern@gmail.com 88408840 , Chotiwut Techakijvej ,  ชายเก็บแสง

“หนองทะเล จ.กระบี่” สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่สำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ

 

1409206415-1-o

 

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ประจำจังหวัดกระบี่  ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบและรักการถ่ายภาพ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไรนักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หนองทะเล เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่กึ่งธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากชายหาดชื่อดังของจังหวัดกระบี่ ซึ่งหนองทะเลแห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามมากๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากบึงหรือหนองน้ำแห่งนี้มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนสูงใหญ่สลับเรียงรายล้อมรอบ และมีรูปร่างที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดกระบี่อีกด้วย บ่อยครั้งที่จะสามารถมองเห็นหมอกจางๆ คลอเคลียอยู่บนยอดเขาในยามเช้า และเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีเหลืองทองจากทางด้านหลังแนวเทิกเขาก็จะมีไอหมอกบางๆ ค่อยๆ ลอยจากผิวน้ำคล้ายกับบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวในภาคเหนือ นอกจากนี้ยังสามารถพบกับฝูงเป็ดและเหล่าบรรดาหมู่นกที่ออกหากินในช่วงเช้าที่ช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับหนองทะเลแห่งนี้ได้ดีทีเดียว

 

1409226378-27-o

1409206549-2-o

1409206791-3-o

1409207061-6-o

1409207786-16-o

 

ส่วนเส้นทางการเดินทางนั้น ทางเข้าหนองทะเลจะอยู่เยื้องๆ กับเส้นทางที่จะเข้าหาดคลองม่วง จากนั้นใช้เส้นทางเล็กประมาณ 200 – 300 เมตรก็จะพบกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ เนื่องจากสถานที่หนองทะเลยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนและแน่นอนเท่าไรนัก แต่สถานที่แห่งนี้เริ่มได้รับความสนใจมากสำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพเป็นพิเศษ ถ้าใครสนใจอยากชื่นชมความงดงามของหนองทะเล จ.กระบี่ ต้องมาสัมผัสกันให้ได้ด้วยตนเองว่า หนองทะเลสวยงดงามดั่งภาพถ่ายหรือไม่

 

1409207381-10-o

1409207885-18-o

1409206912-4-o

1409207923-19-o

1409207498-11-o

1409207594-12-o

1409207665-14-o 

1409207177-7-o

1409207721-15-o

1409207275-8-o

1409207829-17-o

1409208184-26-o

1409208079-21-o

1409208042-20-o 

1409208121-22-o

1409208214-28-o

1409208158-23-o

1409207324-9-o

 

เรียบเรียงโดย : www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : Wichean Ruanngam/Wi Krabi/Painter หรือ The Painter 

Unseen พุทธสถานท่ามกลางผืนป่าธรรมชาติ วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

 

20131128_3_1385613737_126797

pugon1

 

วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูง และป่าน้ำโสม บ้านนาคำใหญ่ ตำบลบ้านก้อง ซึ่งเป็นรอยต่อคราบเกี่ยว 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลย และจังหวัดหนองคาย บนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ วัดป่าภูก้อนถือได้ว่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่มีความเป็นอันซีนที่ยังไม่ปรากฏต่อสายตานักท่องเที่ยวเท่าไรนัก

 

วัดป่าภูก้อน เกิดขึ้นจากพุทธบริษัทที่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำลำธาร ที่กำลังถูกทำลายลง และเพื่อเป็นการตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าต้นน้ำลำธาร สัตว์ป่า และพรรณไม้นานาพันธุ์ ให้เป็นมรดกของแผ่นดินไทยและอยู่คู่กับลูกหลานไทย

 

10357526_310375855787211_8919383098175083239_n

 

รอบผนังภายในวิหารถูกตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ ซึ่งตกแต่งเป็นภาพปั้นนูนต่ำหล่อด้วยทองแดงจำนวน 22 ช่อง เป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติต่างๆ 10 ชาติด้วยกัน เป็นการสื่อความหมายถึงการสั่งสมบารมีด้วยความพากเพียร และความเสียสละของพระองค์ในทุกๆ ชาติ โดยที่ด้านบนของทุกๆ ภาพจะมีการแกะสลักบทสวดอิติปิโสไว้ช่องละท่อนด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาว ซึ่งถือได้ว่าเป็นผนังวิหารที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ไม่ซ้ำใคร

 

20131128_3_1385613645_670382

20131128_3_1385613345_820838

 

พระวิหารที่สะดุดตาของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ได้รับการออกแบบจากวิศวกรรมโครงสร้าง องค์พระพุทธรูปหินอ่อน พระวิหาร ศาลาราย และอาคารรอบลานเขา โดยที่พระวิหารมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้า – ออกวิหาร 3 ด้าน ส่วนภายในตกแต่งได้อย่างวิจิตรตระการตา รวมไปถึงแฝงด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า

 

ภายในพระวิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี ขนาดความยาว 20 เมตร ถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนขาวจากเมืองคาร์ราร่า ประเทศอิตาลี ซึ่งถือได้ว่าเป็นหินอ่อนขาวที่มีความสวยงดงามและทนทานมากที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – 2555 ซึ่งคณะพุทธบริษัทวัดป่าภูก้อนได้ร่วมใจกันสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพิเศษ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2554 ออกแบบและแกะสลักองค์พระพุทธไสยาสน์โดย อาจารย์นริศ รัตนวิมล ยอดศิลปินประติมากรหินของไทย

 

pugon3

20131128_3_1385613584_424846

 

นอกเหนือจากพระวิหารและพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่เป็นจุดเด่นแล้ว ยังมีพระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ที่อยู่บริเวณเดียวกันถัดลงมาทางด้านล่างก็มีความน่าสนใจไม้แพ้กัน เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นหินอ่อนของเหล่าเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งมีศิษยานุศิษย์อยู่มากมาย โดยที่นักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางขึ้นบันไดที่ทอดยาวเพื่อเข้าไปยังเจดีย์และสักการะบูชา แม้จะถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานนักแต่ที่นี่ก็ถูกยกให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวภาคอีสานอีกแห่งหนึ่ง

 

20131128_3_1385613720_25484

20131128_3_1385613685_465508

NK319-1009x1024

 

ส่วนเส้นทางการเดินทางไปยังวัดป่าภูก้อนนั้น เมื่อมาถึงจงหวัดอุดรธานี แล้วให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2 (อุดรธานี – หนองคาย) ขับมาเรื่อยๆ จนถึงกิโลเมตรที่ 13 จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 (อุดรธานี – บ้านผือ) และขับต่อไปก็จะพบกับบ้านนาคำใหญ่ จะมีทางเลี้ยวเข้าวัดป่าภูก้อน รวมแล้วระยะทางจากตัวเมืองอุดรธานีถึงวัดป่าภูก้อนประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็จะได้พบกับ Unseen พุทธสถานท่ามกลางผืนป่าธรรมชาติที่สวยงดงามแห่งนี้

 

map

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา ครั้งที่ 11 ประจำปี 2558

 

2

eb39

 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก ขอเชิญร่วมงาน “เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา” ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2558 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ณ บริเวณอุทยานแห่งชาติปางสีดา อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว

 

4

 

สำหรับการจัดงาน “เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา” ครั้งที่ 11 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสระแก้ว รวมทั้งกระจายรายได้ให้กับชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งอุทยานแห่งชาติปางสีดาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกที่มีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และธรรมชาติที่สวยงดงามจนเป็นที่ยอมรับแก่นักท่องเที่ยว รวมไปถึงยังได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองผีเสื้อแห่งผืนป่าตะวันออก” จากองค์การยูเนสโก ภายใต้ชื่อ “ดงพญาเย็น – เขาใหญ่” อีกด้วย

 

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น กิจกรรมชมผีเสื้อหลากหลายสายพันธุ์ที่มีจำนวนมากกว่า 400 ชนิด, ชมขบวนหุ่นผีเสื้อจากแต่ละตำบลที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม, ชมนิทรรศการผีเสื้อและศึกษาเทคนิคการดูผีเสื้อจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ, กิจกรรมแคมป์ปิ้ง นอนเต็นท์เล่นน้ำตกปางสีดา และกิจกรรมเดินป่าเพื่อศึกษาธรรมชาติและถ่ายภาพแห่งความทรงจำ ณ จุดชมวิว และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

 

pangsida2 (1)

6

 

ส่วนสถานที่ดูผีเสื้อนั้น นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นผีเสื้อได้ทั่วไปรอบอุทยานแห่งชาติปางสีดา แต่ที่สะดวกสบายในการดูนั้น ขอแนะนำดังต่อไปนี้

  • ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่บริเวณลานกางเต็นท์ ซึ่งจะพบผีเสื้อวงศ์บินเร็วตั้งแต่ช่วงเช้า ส่วนในฤดูฝนจะพบผีเสื้อสกุลบารอนหลากหลายชนิดบินมากินผลไม้สุกที่ใต้ต้นมะม่วง และในช่วงเดือนเมษายนยังสามารถพบกับดักแด้ผีเสื้อหนอนคูนจำนวนมากนับหมื่นๆ ในบริเวณรอบๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
  • น้ำตกปางสีดา เริ่มต้นตั้งแต่ลานจอดรถ หากฉีดน้ำทิ้งไว้สักพักก็จะสามารถพบเห็นผีเสื้อบินลงมากินเกลือแร่ และตลอดการเดินไปยังน้ำตกก็สามารถพบกับผีเสื้อนานาชนิดได้ โดยเฉพาะผีเสื้อหางติ่ง และผีเสื้อหนอนกระหล่ำ
  • น้ำตกลานหินดาด เริ่มต้นจากกิโลเมตรที่ 6 ด้วยการเดินผ่านทุ่งกระทิง ซึ่งตลอดสองข้างทางจะสามารถพบกับผีเสื้อสกุลผีเสื้อป่านานาชนิดที่หลากหลายบินไปมา และที่ปลายทางนอกจากจะพบกับน้ำตกที่สวยงดงามแล้ว ยังสามารถพบกับกล้วยไม้นานาพันธุ์ได้อีกด้วย
  • แหล่งน้ำซับ เริ่มต้นจากจุดชมวิว กิโลเมตรที่ 25 หากเดินไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเศษๆ ก็จะพบกับแหล่งน้ำซับที่อยู่กลางถนน ซึ่งบริเวณตรงนี้จะสามารถพบเห็นผีเสื้อนานาชนิดจะพากันมากินโป่ง และตลอดสองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยผีเสื้อวงศ์ที่บินเร็วขึ้น
  • ห้วยน้ำเย็น เป็นที่ตั้งของหน่วย ปด. 5 ซึ่งอากาศที่เย็นสบาย หากเดินไปตามลำห้วยก็จะพบกับผีเสื้อที่หาดูและพบเห็นได้ยากหลากหลายชนิด อาทิเช่น ผีเสื้อลายซิกแซก ฟ้าเฟลเดอร์ ตาแมวม้วง เป็นต้น

 

5

pangsida2

 

สำหรับการแต่งกายไปดูผีเสื้อนั้น ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ควรเน้นเสื้อผ้าสีฉูดฉาดมากจนเกินไป และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การดูผีเสื้อคือ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากผีเสื้อชอบแสงแดด และเมื่อหมดแสงแดดผีเสื้อก็จะหายไป ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

บรรยากาศสุดชิล ณ ไร่บุญรอด จังหวัดเชียงราย

 

1361414387-untitled13-o

1370593983-ae1417-o

13

1370619006-ab8521-o

ae-0362

31

 

ภาพของไร่ชากว้างไกลสุดสายตา พืชผลไม้นานาพรรณ ที่ถูกแวดล้อมไปด้วยขุนเขา ดอกไม้ และสายหมอกจางๆ เป็นภาพที่หาได้ไม่ยากเมื่อคุณได้มาเยือน “ไร่บุญรอด” ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่แห่งใหม่ของจังหวัดเชียงรายที่ต้องไปสัมผัสให้ได้ วันนี้จึงขอแนะนำให้ลองไปเยือน “ไร่บุญรอด เชียงราย” กันดูนะคะ แต่ถ้าใครยังไม่มีเวลาได้ไปสัมผัสกับสถานที่จริงนั้น แนะนำให้ลองมาศึกษาข้อมูลเบื้องต้นกันก่อนนะจ๊ะ เผื่อเมื่อได้ศึกษาข้อมูลจบแล้วจะรีบเปลี่ยนใจแพ็คกระเป๋าไปในทันทีค่ะ

 

45

47

814740-topic-ix-94

 

ไร่บุญรอด เปิดบริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น สิงห์ ปาร์ค เชียงราย (Singha Park Chiangrai) ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายเด่นห้า – ดงมะดะ ห่างจากเขตชุมชนเมืองเรียงราย ประมาณ 9 กิโลเมตร เลขที่ 99 หมู่ที่ 1 บ้านแม่กรณ์ ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สภาพพื้นที่โดยทั่วๆ ไปเป็นที่ลาดเนินเขา มีภูเขาเล็กๆ และในช่วงฤดูหนาวอากาศค่อนข้างเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมากสำหรับท่านที่ชื่นชอบอากาศหนาวเย็น

 

และด้วยพื้นที่ที่กว้างขว้าง ทำให้วิธีการชมไร่บุญรอดมีด้วยกัน 2 วิธี คือ นั่งรถชมทัศนียภาพโดยรอบด้วยไกด์ที่เชี่ยวชาญคอยอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน หรือวิธีที่สอง การปั่นจักรยานชมวิว ที่มีไว้บริการหลายคัน ซึ่งถือว่าเป็นการออกกำลังไปอีกทางหนึ่งด้วย

 

1370592334-ae2-o

39

1370592901-ae26-o

DSC_0176

 

ส่วนภายในไร่บุญรอดนั้นมีการเพาะปลูกพื้นที่หลากหลายชนิด แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือ ไร่ชาอู่หลงสายพันธุ์จินซวน (Jin Xuan) หรือชาอู่หลง เบอร์ 12 เป็นชาสายพันธุ์ไต้หวัน ที่ปลูกบนพื้นที่กว่า 600 ไร่ กว้างขว้างลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม

 

29

35

 

เมื่อนักท่องเที่ยวได้เดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศของไร่บุญรอดแล้วนั้น ท่านต้องได้พบพระเอกของไร่ที่สำคัญนั้นก็คือ พุทราพันธุ์ซื่อหมี่ ที่ทอดยาวกว่า 100 ไร่ โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน พุทราพันธุ์ซื่อหมี่จะออกผลให้ได้ลิ้มลองชิมกัน ส่วนมะเพืองยักษ์หวานนับร้อยต้นในช่วงเดือนธันวาคม – เดือนมกราคมของทุกปี ก็พร้อมใจกันออกผลสีเหลืองให้ได้ชิมรสหวานๆ กันอย่างทั่วหน้า และอีกหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับช่วงฤดูหนาวนั้นก็คือ สตอเบอร์รี่ ซึ่งที่ไร่บุญรอดแห่งนี้จะปลูกสตอเบอร์รี่ในพื้นที่ 4 ไร่ สายพันธุ์พระราชทาน 80 ที่เกษตรกรรมผสมผสานเอง และเมื่อหมดช่วงฤดูกาลก็จะปลูกแคนตาลูปและมะเขือเทศพันธุ์เลื้อยแทน โดยที่สตอเบอร์รี่จะให้ผลผลิตในช่วงเดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีเท่านั้น

 

33

34

17

 

นอกจากนี้แล้ว ไร่บุญรอดยังมีการปลูกต้นยางพารากว่า 2,700 ไร่อีกด้วย รวมไปถึงปลูกราสเบอร์รี เมลอน มัลเบอร์รี และพืชผักผลไม้เมืองหนาวอีกมากมายหลากหลายชนิด และอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนไร่บุญรอด นั่นก็คือ การชื่นชมและสัมผัสดอกไม้สวยๆ ที่จะเบ่งบานชูช่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม ไม่ว่าจะเป็นทุ่งปอเทืองที่เหลืองอร่าม, ซัลเวียสีแดงเด่น, แววมยุรา, ข้าวญี่ปุ่น, พิงค์มอส, ดอกคอสมอส และดอกไม้นานาชนิดที่ปกคลุมเนินเขาที่เมื่อได้มองแล้วจะรู้สึกสบายตา พร้อมปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าไปช่างเป็นอะไรที่แสนจะโรแมนติกสุดๆ

 

27

DSC-600x398

 

เมื่อได้เที่ยวชมไร่บุญรอดจนหมดแรงกันแล้ว ก็อย่าลืมแวะเติมพลังกันที่ร้านอาหาร “ภูภิรมย์” กันด้วยนะคะ ซึ่งมีอาหารอร่อยๆ หลากหลายเมนูรอบริการลูกค้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารเหนือ อาหารฝรั่ง หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารแปลกๆ ให้ได้ลิ้มลองกัน โดยที่ให้แต่ละเมนูจะถูกคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญยังให้ผลผลิตที่ปลอดสารพิษจากในไร่อีกด้วย อาทิเช่น ไก่ย่างภูภิรมย์ ยำทูน่าใบชาสด ยำใบชาทอดกรอบ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังสามารถชมทัศนีย์ภาพของไร่บุญรอดแบบ 360 องศา พร้อมจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ได้อีกด้วย

 

21

20 (1)

23

 

หรือหากใครอยากซื้อของฝากติดไม้ติดมือนั้น ทางไร่บุญรอดก็มีผลิตภัณฑ์มากมายจากทางไร่จำหน่ายอยู่ ณ ร้ายขายของที่ระลึก ทั้งน้ำมัลเบอร์รี, น้ำเสาวรส, แยมผลไม้, มะม่วงอบแห้ง, มะเฟืองอบแห้ง, ชาอู้หลง, เห็ดหอมดองซีอิ้ว และอื่นๆ อีกมากมาย

และทั้งหมดนี้คือความงดงาม ที่คุณจะได้รับหากได้มาเยือนที่ สิงห์ ปาร์ค เชียงราย หรือ ไร่บุญรอด แห่งนี้ เพราะนอกจากจะได้ซึมซับกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์ให้ชุ่มฉ่ำปอดแล้ว ยังสามารถตื่นตาตื่นใจไปกับกิจกรรมต่างๆ มากมายรอบริการนักท่องเที่ยวอยู่

 

14

831c0a5bf18670b2eeb8a19d774286c2

10926367_326146047591323_6917186783058896156_n

10897953_325426340996627_5399952133486121149_n

1370616296-ae0486-o

1370592882-ae3-o

  1370592420-ae-o

 ae-8576

304414_131630386986710_1575780634_n

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

มนต์เสน่ห์ธรรมชาติที่หลากหลายของจังหวัดจันทบุรี

 

“จันทบุรี” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เมืองจันท์” เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นหูในฐานะเมืองเก่าที่มีสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย จึงทำให้พื้นที่จังหวัดจันทบุรีเต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่หลากหลายที่รอให้นักท่องเที่ยวไปค้นหา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติในพื้นที่ติดทะเล และธรรมชาติที่เป็นผืนป่า เขา จึงทำให้จังหวัดจันทบุรีเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งยังมีพื้นที่ที่มีความสมดุลของดินฟ้าอากาศที่เหมาะแก่การปลูกผลไม้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชื่อเสียงและยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวจังหวัดจันทบุรีอีกด้วย ดังนั้นจึงได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีมาฝากกันค่ะ

 

01

02

 

โอเอซิส ซีเวิลด์

โอเอซิส ซีเวิลด์ ตั้งอยู่ตำบลปากน้ำ อำเภอแหลมสิงห์ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นสถานที่เพาะพันธุ์และอนุรักษ์ปลาโลมาที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำจังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์หัวบาตร และพันธุ์ปากขวด โดยที่ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวงจรชีวิตของปลาโลมา การเพาะเลี้ยงโลมา รวมทั้งมีการแสดงของปลาโลมาแสนรู้ให้ชมทุกวัน วันละ 5 รอบ รวมทั้งเปิดบริการรอบเพื่อเล่นน้ำกับปลาโลมาอีกด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีสวนสมุนไพรให้ได้ศึกษาหาความรู้กันอีกด้วย อาทิเช่น จำเรียง อบเชย โด่ไม่รู้ล้ม เป็นต้น หรือยังเป็นสถานที่จัดค่ายพักแรมที่พักไว้บริการกับนักเรียนและเยาวชนทั่วไปอีกด้วย

 

03

 

ตึกแดง

ตึกแดง ตั้งอยู่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ บริเวณท่าเรือแหลมสิงห์ ใกล้กับคุกขี้ไก่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองจันทุบรีประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งตึกแดงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ. 2436 เดิมเป็นที่ตั้งของป้อมพิฆาตปัจจามิตร ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรีก็ได้รื้อป้อมแห่งนี้ลง และสร้างตึกแดงขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่พักและเป็นกองบัญชาการทหารฝรั่งเศสเป็นตึกชั้นเดียว สีแดง หลังคามุงด้วยกระเบื้อง และเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันในเวลา 08.30 – 16.30 น.

 

06

04

09

 

เที่ยวชมย่านท่าหลวงเก่าริมน้ำ

ย่านท่าหลวงตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี ถนนท่าหลวง ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง เป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองจันทบุรี เป็นชุมชนที่เก่าแก่ของจีนและญวนมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ และรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมบรรยากาศย้อนยุคได้อย่างสบายๆ ด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีลักษณะเป็นแถวที่ถูกสร้างตามแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมลูกครึ่งฝรั่งผสมผสานกับจีน โดยที่มีลักษณะเป็นอาคารเรียงโค้งกันเป็นแถว และถูกประดับชายคาด้วยเป็นไม้แกะฉลุลวดลายโปร่งตา

ส่วนสภาพร้านค้านั้นยังถูกคงสภาพไว้แบบดั้งเดิม เช่น ร้านขายยาจีนแผนโบราณ, ร้านตัดผมเรือนไม้, บ้านหลวงราชไมตรี ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งยางพาราภาคตะวันออก” คหบดีแห่งย่านท่าหลวง ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการค้ายางพาราในจังหวัดนี้ ตัวบ้านสร้างแบบโคโลเนียล และเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำหนัง “โหมโรง” และละคร “อยู่กับก๋ง” ทั้งนี้หากได้ไปสัมผัสย่านท่าหลวงแนะนำให้แวะร้านไอศกรีม “จรวด” ซึ่งเป็นร้านที่อร่อยที่สุด และเป็นโรงงานแห่งแรกของจังหวัดที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตไอศกรีมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา ที่ยังคงบรรยากาศเก่าแก่ของตัวอาคารแบบโคโลเนียลไว้ และแนะนำให้แวะร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ที่มีชื่อร้านว่า “ทำสี” ที่ขายดีมากๆ มีสินค้าจำหน่ายมากมายหลากหลายความต้องการ อาทิเช่น เสื้อยืด โปสการ์ด แม่เหล็กติดตู้เย็น และของใช้จุกจิกมากมายที่รอนักท่องเที่ยวซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน

 

10

11

 

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำจันทบุรี เนื่องด้วยสภาพป่าในบริเวณนี้มีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์รวมไปถึงพันธุ์ไม้หายากจำนวนมาก จึงทำให้เป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิเช่น น้ำตกกระทิง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ทั้งหมด 13 ชั้น มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาคิชฌกูฎ หรือ ยอดเขาพระบาท ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคิชกูฎ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่ถูกนำผูกกับทางพระพุทธศาสนา และนอกจากนี้ยังสามารถชื่นชมกับทิวทัศน์ของเทือกเขาสระบาป, เขาสุกิม, เกาะนมสาว, และตัวเมืองจันทบุรีได้อีกด้วย

 

12

13

 

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีเนื้อที่ 84,063 ไร่ ตั้งอยู่อำเภอแหลมสิงห์ บนเทือกเขาสระบาป โดยที่มาของชื่อน้ำตกคือ คำว่า “พลิ้ว” กล่าวกันว่าเป็นภาษาชอง ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นเดิมที่แปลว่า ทราย หรือ หาดทราย แต่เข้าใจกันว่าน้ำตกพลิ้วคงจะได้ชื่อมาจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่ชอบขึ้นในดินปนทราย มีลักษณะเป็นไม้เถามีดอกเป็นผลเล็กขนาดลูกเกด สีเหลืองอมแดง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในแถบนี้ สำหรับน้ำตกพลิ้วแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดทั้งปี และยังเป็นน้ำที่ใสสามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้อีกด้วย รวมไปถึงยังสามารถชื่นชมกับพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ และสัตว์ป่านานาชนิดได้อีก

 

14

15

16

 

หาดเจ้าหลาว

หาดเจ้าหลาว ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอ่าวคุ้งกระเบน ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ และอยู่ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี 60 กิโลเมตร หาดเจ้าหลาวแห่งนี้เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงดงาม มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วยทิวของต้นมะพร้าว ส่วนหาดทรายนั้นจะมีเนื้อละเอียดสีแดง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของหาดทรายเมืองจันทบุรี รวมทั้งหาดทรายแห่งนี้ยังทอดยาวไปจนถึงเขตห้ามล่าสัตว์คุ้งกระเบนอีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย เช่น เล่นน้ำทะเล, เล่นบานาน่าโบ๊ท, ดำน้ำตื้นดูปะการัง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น

 

18

17

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นสถานที่สำคัญสำหรับศึกษาค้นคว้าและวิจัย เพื่อเป็นแนวทางด้านการพัฒนาที่เหมาะสมต่อพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดจันทบุรีโครงการหนึ่งที่ศูนย์ทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่มีความสนใจเข้ามาศึกษาสภาพธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจในระบบนิเวศป่าชายเลน และรู้จักการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด  คือ สะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยจะใช้เวลาเพียง 30 – 45 นาที บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะมีจุดสื่อความหมายธรรมชาติอยู่ตามบริเวณต่างๆ เป็นแหล่งอาหารธรรมชาติตลอดจนแหล่งสมุนไพรสำหรับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบอีกด้วย

 

19

20

21

 

อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี  

อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี  ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนสตรีพิทักษ์ ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2254  บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี โดยคุณพ่อเฮิ๊ต โตแลนติโน และบรรดาทอลิกชาวญวน จนถึงเมื่อปี พ.ศ. 2377 ได้ย้ายมาสร้างบนฝั่งด้านตะวันนออกของแม่น้ำจันทบุรีอันเป็นสถานที่ตั้งในปัจจุบันนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่ และถูกกล่าวขานกันว่ามีความสวยงดงามที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย ด้วยความงามของสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค และภายในตกแต่งด้วยลวดลายฉลุ กระจกสเตนกลาสหรือกระจกหลากสี และภาพนักบุญต่างๆ รวมไปถึงเป็นที่ประดิษฐานองค์พระนางมารีอาที่ถูกประดับด้วยพลอย 200,000 เม็ด ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลกอีกด้วย เปิดให้เข้าเยี่ยมชมวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 08.30 – 12.00 น. และเวลา 13.00 – 16.30 น. ส่วนวันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 16.30 น.

 

และทั้งหมดนี้คือ สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรี ที่นำมาแนะนำให้ไปลองเที่ยวชมและสัมผัสเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวนั้นอย่าลืมแวะไปท่องเที่ยวตามสถานที่ที่ได้นำมาฝากด้วยนะคะ

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

Unseen Thailand ต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี

 

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์1

 

เมื่อแสงสว่างจากท้องฟ้าเริ่มลาลับสู่พลบค่ำของแต่ละวัน บริเวณด้านหลังผนังของอุโบสถวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี สามารถพบกับเอกลักษณ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนก็คือ ภาพเรืองแสงเรืองรองของประติมากรรมต้นกัลปพฤกษ์ที่ติดอยู่ผนังหลังโบสถ์ ซึ่งจะปรากฏแสงสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืนเท่านั้นขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ ถือได้ว่าสวยงดงามแก่สายตาผู้พบเห็น จนกลายเป็นสถานที่สุดฮิตที่ Unseen Thailand ในปัจจุบันที่ชวนน่าค้นหา

 

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์2

SAN_8787-2

 

ซึ่งภาพของต้นไม้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่เคยเห็นในวัดเชียทองที่หลวงพระบาง ประเทศลาว แต่ศิลปินผู้สร้างผลงานชิ้นนี้ได้ใส่ไอเดียพิเศษลงไปในผลงานจนเกิดเป็นความงดงามที่ไม่ซ้ำใครดั่งที่ได้พบเห็น นอกจากนี้วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ยังเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกอีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงดงามมากอีกจุดหนึ่งของประเทศไทย รวมไปถึงยังเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการดูดาว ซึ่งหากวันใดโชคดีจะได้พบกับฝูงช้างเผือกเชือกใหญ่ที่เปล่งประกายบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่น และเมื่อใดที่นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยือนจะต้องรู้สึกประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน

 

1416797340-JOE0730-o

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์3

คุณWatcharit Praihirun1

คุณWatcharit Praihirun2

 

ส่วนการเดินทางมายังวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว แห่งนี้นั้น เริ่มต้นจากตัวเมืองอุบลราชธานีให้ใช้เส้นทางเดียวกับทางที่ไปด่านช่องแม็ก ขับมาเรื่อยๆ จนเลยเขื่อนสิรินธร ซึ่งก่อนจะถึงตัวด่านประมาณ 3 กิโลเมตร จะพบกับทางแยกเล็กๆ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าวัดได้เลย ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถพบกับ Unseen Thailand ศิลปกรรมต้นไม้เรืองแสง ประจำวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานีได้เลย

 

SAN_8780-3

1200_9491414390384

1416797248-JOE0651-o

1200_7751414390365

1200_6641414390401

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์, คุณWatcharit Praihirun, Khunkay’s Gallery