1. ตลาดน้ำขวัญเรียม

ตลาดน้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ริมคลองแสนแสบ บริเวณท่าเรือวัดบำเพ็ญเหนือ และวัดบางเพ็งใต้ โดยตลาดแห่งนี้เกิดขึ้นจากคนรุ่นใหม่ที่ต้องการย้อนวิถีชีวิตและจำนองเหตุการณ์ของผู้คนริมคลองแสนแสบ อาทิเช่น การตักบาตรทางน้ำ การแสดงการละเล่นของไทย การล่องเรือชมชุมชน รวมถึงสามารถเลือกลิ้มลองอาหารรสอร่อยและสินค้ามากมายได้จากตลาดน้ำแห่งนี้อีกด้วย

 

 2. ตลาดน้ำอัมพวา

เป็นตลาดน้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอีกตลาดหนึ่ง และยังเป็นตลาดน้ำที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดสมุทรสงคราม ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติแวะเวียนมากันไม่ขาดสาย นักท่องเที่ยวทุกท่านสามารถเลือกซื้ออาหาร ของฝาก และสิ่งของต่างๆ ได้ทั้งแบบที่พายเรืออยู่ในลำคลอง หรือร้านค้าบนฝั่งก็ได้ และจุดเด่นที่สำคัญหริอเป็นไฮไลท์หลักคือ ที่พักแบบโฮมสเตย์ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักและเรียนรู้วิถีชีวิตร่วมกับเจ้าของบ้านได้อีกด้วย และยังสามารถล่องเรือชมหิ่งห้อยในยามค่ำคืนได้

 

3. ตลาดน้ำทุ่งบัวชม

ถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งบนเนื้อที่ 18 ไร่ ด้วยการผสมผสานระหว่างแนวคิดสมัยเก่าย้อนยุคกับแนวคิดร่วมสมัยที่ถูกถ่ายทอดผ่านตลาดน้ำแห่งนี้ แถมยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพราะที่นี่ได้รวมสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หลากหลายให้เลือกชมและซื้อหากันเป็นจำนวนมาก ซึ่งตลาดน้ำแห่งนี้ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ทั้งด้านวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรม

 

4. ตลาดน้ำอโยธยา

ตลาดน้ำที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทยที่ใหญ่ที่สุดในระดับจังหวัดอีกด้วย ทั้งด้านบรรยากาศภายในตลาดน้ำนั้นถูกโอบล้อมด้วยลำน้ำ และความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพ่อค้าแม่ค้าที่แต่งกายแบบย้อนยุคคอยต้อนรับนักท่องเที่ยว และสะท้อนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในอดีตผ่านเมนูอาหาร และสินค้าต่างๆ ที่ถูกคัดสรรเป็นอย่างดี นับได้ว่าตลาดน้ำอโยธยาเป็นศูนย์รวมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ชมทัศนียภาพอันงดงามที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยผ่านตลาดแห่งนี้

 

5. ตลาดน้ำกลางดง

เป็นตลาดน้ำที่ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา และสายน้ำ ที่รวมงานศิลป์สุดอาร์ตของบรรดาศิลปินต่างๆ โดยจำลองบรรยากาศตลาดน้ำไว้กลางดงให้เลือกชม เลือกชิม และเลือกช็อปกันอย่างเพลิดเพลินจรรโลงใจ ทั้งร้านอาหารบนริมฝั่งและร้านอาหารบนเรือจากพ่อค้าแม่ค้า

 

6. ตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ด้านศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งถูกรวบรวมด้วยความหลากหลายของคนไทยทั้ง 4 ภาคไว้ด้วยกัน จึงถือได้ว่าตลาดน้ำสี่ภาค พัทยา นี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ได้รับความสนใจและความนิยมเป็นอย่างมาก ตลาดน้ำสี่ภาค เป็นการให้นักท่องเที่ยวสัมผัสกับความเป็นไทย ด้วยการจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ผ่านสายน้ำที่คนไทยผูกพันและคุ้นเคย รวมถึงเป็นการแสดงถึงภูมิปัญญาชาวบ้านในแต่ละภาคของประเทศไทยที่นำเอาของดีของเด่นมาผสมผสานไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว

 

7. ตลาดน้ำหัวหินสามพันนาม

เป็นตลาดน้ำที่ถูกตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์หัวหินบรรยากาศรัตนโกสินทร์ย้อนยุคสมัยรัชกาลที่ 6 ด้วยพื้นที่กว่า 100 ไร่ จำนวนร้านค้าทั้งหมด 193 ร้าน และเรือขายสินค้า 40 ลำ ที่ถูกตกแต่งในโทนสีขาวและสีแดง คล้ายๆ สถานีรถไฟหัวหินที่มีชื่อเสียงโดดดัง อีกทั้งตลาดแห่งนี้ถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาและแหล่งน้ำธรรมชาติอย่าง ลำห้วยสามพันนาม จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่ได้มาเยือนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศเย็นสบาย ร่มรื่น และเป็นธรรมชาติที่ไม่ต้องปรุงแต่ง แถมยังมีการแสดงโชว์แสง สี เสียง ตระการตาให้ได้รับชมทุกวัน

 

 

8. ตลาดน้ำคลองแห

เป็นตลาดน้ำเชิงวัฒนธรรมแห่งแรกและแห่งเดียวของภาคใต้ ที่ถูกผสมผสานระหว่างตลาดจำหน่ายสินค้าในเรือและตลาดโบราณที่เน้นการฟื้นฟูคลองแห ลำคลองเล็กๆ ให้กลับมาสะอาดและกว้างขวางอีกครั้ง ด้วยรูปแบบของตลาดน้ำ และการใช้วัสดุจากธรรมชาติบรรจุสินค้า อาทิเช่น การใช้กระทงใบตองหรือกะลามะพร้าวเป็นภาชนะใส่อาหาร การใช้กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำ เป็นต้น และยังสามารถเพลิดเพลินไปอาหารคาวหวาน อาหารพื้นบ้าน ขนมไทย และขนมพื้นบ้านของภาคใต้ได้ที่ตลาดน้ำแห่งนี้

 

9. ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

ตลาดแห่งนี้ถูกจัดตั้งขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำผึ้ง และคนในชุมชน เพื่อแก้ไขปัญหาภาวะผลผลิตล้นตลาด โดยการนำผลผลิตเหล่านั้นมาขายสู่ท้องตลาดในราคาที่ย่อมเยาว์ ซึ่งตลาดน้ำบางน้ำผึ้งนี้สามารถสร้างรายได้และสร้างงานให้กับคนในชุมชนได้เป็นอย่างดี  โดยนักท่องเที่ยวที่ได้เดินทางมานั้นจะได้เพลิดเพลินและสนุกสนานกับการชมและชิมพืชผักผลไม้ทั้งสองฝั่งคลอง รวมถึงสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มีคุณภาพจากคนในชุมชนได้อีกด้วย

 

10. ตลาดน้ำดอนหวาย

ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน หลังวัดดอนหวาย จังหวัดนครปฐม เป็นตลาดที่ยังคงสภาพหลังเหลือตลาดเก่าในอดีตสมันรัชกาลที่ 6 อยู่ โดยตลาดแห่งนี้มีลักษณะเป็นตัวอาคารไม้เก่า ที่อยู่ติดริมแม่น้ำ มีพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าและผลผลิตมาจำหน่ายมากมายให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสรรตามความต้องการ นอกจากนี้บริเวณวัดดอยหวายยังมีตลาดนัดสินค้าทางการเกษตรจำหน่ายทุกวันอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงดงามที่หลายๆ ท่านรู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งน้ำตก ภูเขา ทะเล ศิลปวัฒนธรรม  และอื่นๆ อีกมากกมายที่รอให้ทุกท่านได้ออกไปค้นหาออกไปสัมผัสกัน ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากในการเข้ามาท่องเที่ยว ลองมาดูกันสิคะว่า การจัดอันดับท่องเที่ยวของ Touropia.com นั้น 10 จังหวัดในประเทศไทยที่ได้รับความสนใจที่สุดของสายตาชาวต่างชาติมีจังหวัดไหนบ้าง มาดูและชมกันได้เลยค่ะ และจะทำให้ท่านหลงรักประเทศไทยมากยิ่งขึ้นค่ะ

อันดับที่ 1 กรุงเทพมหานคร เมืองแห่งสีสันที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาของผู้คน แหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม และกิจกรรมต่างๆ มากมาย ที่ทำให้นักท่องเที่ยวปฏิเสธไม่ได้เลยว่า กรุงเทพมหานครเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของคนทั่วโลกที่ต้องมาสัมผัสให้ได้ และพิสูจน์ได้จากการที่ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สุดของโลกอยู่เสมอ

อันดับที่ 2 จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดท่องเที่ยวยอดฮิตของภาคเหนือ ที่ได้รับความนิยมทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ซึ่งจังหวัดเชียงใหม่นั้นเต็มไปด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่ายที่สะท้อนผ่านสถานที่ท่องเที่ยวทางด้านธรรมชาติ และทางด้านวัฒนธรรมที่โดดเด่นไม่ซ้ำใคร จึงทำให้ผู้ที่ได้มาเยือนจังหวัดนี้หลงรักเชียงใหม่ และต้องกลับมาท่องเที่ยวที่นี้อีกครั้ง

อันดับที่ 3 จังหวัดภูเก็ต มีสมญานามว่า “มุกงามของไทย” เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ และเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย และยังเป็นจังหวัดที่มีน้ำทะเลสีฟ้าสวยงดงามจังหวัดหนึ่งของภาคใต้ เหมาะแก่การพักผ่อนและท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง

อันดับที่ 4 จังหวัดกาญจนบุรี ดินแดนแห่งมนต์เสน่ห์ที่หลากหลายไปด้วยเรื่องราวทางด้านประวัติศาสตร์ต่างๆ ของทุกยุคสมัยที่ได้ถูกบันทึกไว้ และด้วยร่องรอยประวัติศาสตร์อย่างเช่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อันเป็นที่มาของสะพานข้ามแม่น้ำแคว และทางรถไฟสายมรณะที่โด่งดังไปทั่วโลก รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติ ผืนป่า พรรณไม้ ประเพณีวัฒนธรรม  วิถีชีวิตต่างๆ ที่ดำรงอยู่อย่างเอื้ออารีซึ่งกันและกัน ทำให้จังหวัดกาญจนบุรีจังหวัดชายแดนด้านตะวันตกแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกวัย และทุกสไตล์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

อันดับที่ 5 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขึ้นชื่อว่าเป็น เมืองอู่ข้าว อู่น้ำ ที่ซุกซ่อนด้วยเรื่องราวในอดีตทางประวัติศาสตร์อันน่าอัศจรรย์มากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินิยมมาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ด้วยโบราณสถานต่างๆ ที่สำคัญหมายแห่งสะท้อนถึงชีวิตความเป็นอยู่ทั้งในอดีต และถูกถ่ายทอดมายังรุ่นปัจจุบัน ทำให้จังหวัดแห่งนี้ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวในประเทศไทย

อันดับที่ 6 จังหวัดสุราษฏร์ธานี “เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ” เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งธรรมชาติ แหล่งอาหาร แหล่งวัฒนธรรม ตามชื่อของคำขวัญจังหวัด จึงเหมาะแก่เป็นจังหวัดแห่งการท่องเที่ยวอีกที่หนึ่งที่นักท่องเที่ยวต้องมาสัมผัสให้ได้

อันดับที่ 7 จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดที่มีชื่อเสียงของภาคอีสานประเทศไทย ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมและเอกลักษณ์เฉพาะตัว และจังหวัดบุรีรัมย์ยังเป็นเมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางอาณาจักรขอมมาก่อน ทำให้มีปราสาทหินมากกมาย และปราสาทหินที่สำคัญและได้ความสนใจจากนักท่องเที่ยวทุกมุมโลกคือ ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ซุกซ่อนอยู่ และรอในทุกท่านได้ออกมาค้นหาความสวยสดงดงามของปราสาทแห่งนี้อยู่

อันดับที่ 8 จังหวัดสุโขทัย จังหวัดที่เต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรม ที่ถูกถ่ายทอดผ่านงานหัตถศิลป์ หัตถกรรม พุทธศิลป์ และสถาปัตยกรรมที่ทางคุณค่าและยังอบอวบไปด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมายที่ปลูกฝังผ่านคนรุ่นหลังมายังรุ่นปัจจุบัน รวมถึงจังหวัดสุโขทัยเป็นสถานที่มรดกโลกที่ควรค่าอนุรักษ์ไว้ เพื่อบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตกาล จึงทำให้จังหวัดนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยที่ควรได้มาสักครั้งหนึ่ง

อันดับที่ 9 จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาบวกกับอากาศที่หนาวเย็น และหมอกปกคลุมตลอดทั้ง 3 ฤดูของทุกปี จึงได้ชื่อว่าเป็น เมืองสามหมอก ด้วยความงดงามของทัศนีย์ภาพ และความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ทำให้เป็นจังหวัดที่น่าสนใจแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก และนอกจากนี้จังหวัดแม่ฮ่องสอนยังมีความหลากหลายของวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นตามพื้นที่ต่างๆ ของจังหวัด จึงนับเป็นจังหวัดที่สำคัญของภาคเหนืออีกจังหวัดหนึ่งที่ถูกจัดอันดับให้เป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยว

อันดับที่ 10 จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่เหมาะที่สุดในช่วงฤดูหนาวของปี ด้วยสภาพของภูมิประเทศที่มีภูเขาสลับสับซ้อน จึงทำให้เกิดดอยต่างๆ ขึ้นมากมาย ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติต้องมาสัมผัสกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งย่านดอยตุง ดอยแม่สลอง ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากของจังหวัดเชียงราย จึงทำให้เหมาะแก่การพักผ่อนรับลมหนาวในช่วงฤดูกาล

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

1. W Retreat Koh Samui, เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

สุดยอดสระแบบ Infinity Pool โดดเด่นด้วยที่นั่งพักผ่อนหลุมทรงกลมดีไซน์เก๋ ประหนึ่งรายล้อมตัวคุณด้วยสระน้ำและท้องทะเลกว้างใหญ่สุดสายตา พักสายตาไปกับทิวทัศน์ตระการตา เอนกายพักบนเบาะและหมอนแสนนุ่ม นี่คือหนึ่งในประสบการณ์วันพักผ่อนที่มิอาจลืมเลือน

 

2. Chateau De Khaoyai, เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติบริสุทธิ์ ล้อมรอบด้วยวิวทิวทัศน์ของขุนเขาทอดยาวสลับซับซ้อนละม้ายคล้ายดินแดนแสนโรแมนติกอย่างยุโรปในขณะแหวกว่ายดำดิ่งสู่สระน้ำสีฟ้าใส ชาโต เดอ เขาใหญ่ โดดเด่นท่ามกลางธรรมชาติอันงดงามและอุดมสมบูรณ์ สดชื่นเย็นสบายด้วยอุณหภูมิเฉลี่ย 23 องศาตลอดทั้งปีถ่ายทอดแรงบันดาลใจผ่านสถาปัตยกรรมทางตอนกลางของทวีปยุโรปโดยเฉพาะฝรั่งเศสออกมาได้อย่างโดดเด่นและสง่างาม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Chateau De Khaoyai

 

3. Dusit Buncha Resort, เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี

สระว่ายน้ำไร้ขอบ พร้อมวิวเกาะมัดหลังอยู่เบื้องหน้า อีกหนึ่งความประทับใจพร้อมให้คุณสัมผัสบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว ไร้สิ่งรบกวนจากภายนอก มีเพียงหาดทราย โขดหิน ท้องทะเล เกาะน้อยใหญ่ และสวนพันธุ์ไม้นานาชนิดรายล้อม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Dusit Buncha Resort

 

4. Rayong Marriot Resort & Spa, จ.ระยอง

สระว่ายน้ำในฝันของคนในครอบครัว ระยอง แมริออท รีสอร์ท & สปา เอาใจคนรักการว่าย-เล่นน้ำด้วยสระ infinity pool ขนาดใหญ่ทอดยาวสู่ชายหาดส่วนตัวเบื้องหน้า

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Rayong Marriot Resort & Spa

 

5. B52 Beach Resort, เกาะพะงัน จ.สุราษฎ์ธานี

บี 52 บีช รีสอร์ท นำคุณสู่วันพักผ่อนริมหาดบ้านใต้ เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี สีสันแห่งความสนุกสนานใกล้หาดริ้นแหล่ง Full Moon Party อันเลื่องชื่อ  รีสอร์ทเปิดให้บริการห้องพักตกแต่งสไตล์ทรอปิคอล เน้นวัสดุตกแต่งที่ให้ความกลมกลืนกับธรรมชาติ นับเป็นสีสันวันพักผ่อนบนหมู่เกาะอย่างแท้จริง ผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินไปกับสระว่ายน้ำ infinity pool ด้านหน้าหาด พร้อมห้องอาหาร และบีช บาร์ ในบรรยากาศสดชื่นสนุกสนาน ประทับใจ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> B52 Beach Resort

 

6. Silavadee Resort Samui, เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

หากใครอยู่ในห้วงแห่งรัก หรือปราถนาช่วงเวลาแสนพิเศษกับคนพิเศษ พลาดไม่ได้กับอีกหนึ่งความทรงจำประทับใจที่ ศิลาวดี รีสอร์ท สระว่ายน้ำของโรงแรมเป็นอีกหนึ่ง high light ที่เป็นที่กล่าวขานมิรู้จบว่างดงามยิ่งนัก ขอบสระ ขอบฟ้า และขอบน้ำทาบทับบรรจบกันเป็นหนึ่ง โดยเฉพาะบรรยากาศยามอาทิตย์ตกดินนั้นไม่มากเกินไปที่จะกล่าวว่า ช่างงดงามเกินคำบรรยาย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Silavadee Resort Samui

 

7. The Vijit Resort, จ.ภูเก็ต

หลีกเร้นจากความวุ่นวายของชีวิตเมือง สู่สรวงสวรรค์วันพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเลอันดามัน ให้เวลาหมุนไปอย่างช้าๆ ณ เดอะ วิจิตร รีสอร์ท ภูเก็ต รีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาว
เดอะ วิจิตร รีสอร์ท ภูเก็ตตั้งอยู่หน้าชายหาดอันเงียบสงบ เป็นส่วนตัว สระว่ายน้ำของที่นี่เต็มไปด้วยบรรยากาศของความสดชื่นผ่อนคลาย ทั้งวิวเกาะน้อยใหญ่เบื้องหน้า และพันธุ์ไม้ทรอปิคอลอย่างต้นปาล์ม และต้นมะพร้าว นำคุณสู่บรรยากาศของวันพักผ่อนริมทะเลอย่างแท้จริง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> The Vijit Resort

 

8. The Rock Hua Hin จ.ประจวบคีรีขันธ์

สระว่ายน้ำเเบบ infinite – edge pool โดดเด่นด้วยการตกแต่งแบบเมดิเตอร์เรเนี่ยนเพียงไม่กี่ก้าวจากสระว่ายน้ำก็สามารถสัมผัสน้ำทะเลเเละหาดทรายขาวได้ทันทีจึงให้ความรู้สึกที่เป็นบรรยากาศของการพักผ่อนอย่างเเท้จริง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> The Rock Hua Hin

 

9. Aleenta Phuket จ.ภูเก็ต

Aleenta Phuket  นำคุณสู่ช่วงเวลาที่อบอวลด้วยความรัก ล่องลอยไปกับภูมิทัศน์งดงามของชายหาด และสถาปัตยกรรมการตกแต่งรีสอร์ทสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนสุดเก๋ หนึ่งมุมสำหรับผ่อนคลายคือสระว่ายน้ำแบบ infinity pool ทอดยาวราวกับจรดขอบฟ้า ยามค่ำคืนสระนี้ประดับประดาด้วยแสงไฟให้แรงบันดาลใจสุดสร้างสรรค์ เป็นอีกหนึ่งมุมสำหรับเก็บภาพน่าประทับใจ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Aleenta Phuket

 

10. Le Meridien Chiangrai Resort, จ.เชียงราย

ณ ริมฝั่งลำน้ำกกอันเงียบสงบ เป็นที่ตั้งของโรงแรมเลอ เมอริเดียน เชียงราย รีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงรายเพียงอึดใจเดียว ณ รีสอร์ทแห่งนี้ คุณจะสามารถสัมผัสได้ทั้งประสบการณ์การพักผ่อนหรูหราเหนือระดับท่ามกลางธรรมชาติอันบริสุทธิ์ และชื่นชมความงดงามทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยาวนานของเชียงราย อดีตราชธานีเดิมแห่งอาณาจักรล้านนาอันรุ่งเรือง  สระว่ายน้ำสีฟ้าใสชุ่มฉ่ำของโรงแรมตั้งอยู่ท่ามกลางหมู่แมกไม้สีเขียวขจี โอบล้อมด้วยขุนเขา เงียบสงบริมฝั่งแม่น้ำกก ริมสระให้บริการชิลบาร์ และเก้าอี้สำหรับพักผ่อนอาบแดด

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Le Meridien Chiangrai Resort

 

11. Dhevan Dara Beach Villa, กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

พักผ่อนในรีสอร์ทสไตล์โปลีนีเซียน ใกล้ชิดท้องทะเลสีครามใส ห่างไกลจากมลภาวะและความวุ่นวาย ที่ เทวัญดารา บีชวิลล่า กุยบุรีรีสอร์ทพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรู รอแขกคนพิเศษเข้ามาสัมผัส สระว่ายน้ำของที่นี่สวยงามไม่แพ้ที่ใด ลดหลั่นเป็นระดับ ตั้งอยู่ห่างชายหาดกุยบุรีอันเงียบสงบเพียงไม่กี่ก้าว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> Dhevan Dara Beach Villa

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

กรุงเทพฯ 2 ธันวาคม 2557 – แอคคอร์ บริษัทบริหารจัดการโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประเทศไทย ประกาศการ เปิดตัวอย่างเป็นทางการของ โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท โรงแรมสร้างใหม่ด้วยจำนวน 210 ห้องพัก ตั้งอยู่ในเมืองพัทยา แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศไทย

เพื่อฉลองการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท ขอเสนอห้องพักในราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 1,890 ++ บาท ซึ่งรวมบริการอินเตอร์เนตไร้สายความเร็วสูงแล้ว

♥  ติดต่อสอบถาม

• Tel. 02 659 2888
• ibis.Erawan@accor.com
• www.facebook.com/MercurePattayaOceanResort

“เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งต่อการขยายเครือข่ายแบรนด์โรงแรมเมอร์เคียว เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าพักให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนเมืองพัทยา สถานที่ตากอากาศชื่อดังของชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งโรงแรมดังกล่าวจะเป็นโรงแรมเมอร์เคียวลำดับที่ 6 ของประเทศไทย และเป็นโรงแรมเครือแอคคอร์แห่งที่ 5 ในเมืองพัทยาอีกด้วย”    มร. แพทริค บาสเซ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแอคคอร์ ประจำประเทศไทย เวียดนาม เกาหลีใต้ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และฟิลิปปินส์ กล่าว “แบรนด์โรงแรมเมอร์เคียวนำเสนอจุดเด่นของการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างกลิ่นอายของเอกลักษณ์ประจำถิ่นกับบริการที่มีคุณภาพระดับสากลในแบบฉบับฝรั่งเศส พร้อมเพิ่มการต้อนรับอย่างอบอุ่นในบรรยากาศแบบไทยๆ เพื่อมอบประสบการณ์การเข้าพักที่พิเศษสุดแก่นักท่องเที่ยวทุกท่าน” มร. แพทริค กล่าวเสริม

โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท ตั้งอยู่บนทำเลเยี่ยมใจกลางเมืองพัทยาเหนือ ใกล้ชายหาดพัทยา มีห้องพักจำนวนทั้งสิ้น  210 ห้อง แบ่งเป็นห้องพักแบบซูพีเรีย จำนวน 128 ห้อง ห้องซูพีเรีย         โอเชี่ยนวิว จำนวน 48 ห้องพักแบบดีลักซ์ จำนวน 24 ห้อง     ห้องดีลักซ์ โอเชี่ยนวิว จำนวน 8 ห้อง และ ห้องพักแบบเอ็กเซ็กคลูทีฟ แฟมิ-ลี่ สวีท ในรูปแบบห้องเชื่อมต่อ ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวอีกจำนวน 2 ห้อง โดยแต่ละห้องพักได้รับการตกแต่งสวยงามในสไตล์ร่วมสมัย ให้บริการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเครื่องชงชาและกาแฟ บริการอภินันทนาการเครื่องดื่มภายในห้องพัก และเครื่องเล่นเพลงแบบบลูธูท รวมถึงบริการฟรีอินเตอร์เน็ตไร้สายด้วย

 

มร. ยูเซฟ เอลคอมริ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายบริหารกลุ่มโรงแรม เมอร์เคียว และ ไอบิส เอราวัณ ประเทศไทย กล่าวว่า “โรงแรม เมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท เป็นทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกการเข้าพักทั้งผู้ที่เดินทางเพื่อธุรกิจและเพื่อการพักผ่อน

นอกจากนี้ทางรีสอร์ทยังมีความพร้อมในการรองรับลูกค้ากลุ่มจัดงานประชุมสัมมนาด้วยอุปกรณ์เทคโนโลยีอันทันสมัย  อินเตอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง และทีมงานที่จะช่วยออกแบบการจัดงานสไตล์ใหม่และเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอดการจัดงานอีกด้วย”

 

ความโดดเด่นของโรงแรม เมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท อยู่ที่สวนน้ำ ที่ตกแต่งสไตล์ทรอปิคอล สวยงามด้วยกำแพงหิน น้ำตก ถ้ำ และสวนที่ให้ความร่มรื่นเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วย สไลเดอร์ และกิจกรรมปีนหน้าผา ที่สร้างความสนุกสนานให้แก่ทุกคนในครอบครัว นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำในการเข้าพัก เช่น เอ็ม เลาจน์ ล็อบบี้บาร์ของโรงแรม พูลบาร์ บริเวณสระว่ายน้ำชั้น 5 ของโรงแรม ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และคิดส์คลับ อีกทั้งยังสามารถอิ่มอร่อยกับอาหารนานาชาติตลอดทั้งวัน ณ ห้องอาหารมอลเท็น ด้วย

มร. นิโคลาย สโตยานอฟ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท กล่าวว่า “พัทยายังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ด้วยระยะทางที่สะดวกเพียง 1 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ มาตรฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เรามีบริการ พร้อมราคาเหมาะสม จึงทำให้มั่นใจว่าโรงแรมเมอร์เคียว พัทยา โอเชี่ยน รีสอร์ท แห่งนี้ จะเป็นโรงแรมที่ได้รับความสนใจจากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติอย่างแน่นอน”

♥  ติดต่อสอบถาม

• Tel. 02 659 2888
• ibis.Erawan@accor.com
• www.facebook.com/MercurePattayaOceanResort

1. จามส์ เฮ้าส์ รีสอร์ท

จามส์ เฮ้าส์ รีสอร์ทหรูตกแต่งทันสมัย แทรกตัวอยู่ภายใต้ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของเกาะกูด จ.ตราด ขนาดไปกับหาดทรายยาวกว่า 80 เมตร พบกับประสบการณ์วันพักผ่อนแสนพิเศษ ปลดปล่อยกายใจไปกับน้ำทะเลสีฟ้าใส หาดทรายขาว และพันธุ์ไม้ทรอปิคอลเขียวขจี ให้ความรู้สึกสดชื่นผ่อนคลายตลอดการพักผ่อน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> จามส์ เฮ้าส์ รีสอร์ท

 

2. เทวัญดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน

สัมผัสกลิ่นอายวิลล่าสไตล์มัลดีฟ รายรอบด้วยธรรมชาติและอ้อมกอดของท้องฟ้าสีคราม ที่ เทวัญดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน รีสอร์ทหรูที่พร้อมรองรับแขกผู้มาเยือนด้วยวิลล่าหลากหลายรูปแบบ เหมาะสำหรับการเข้าพักผ่อนตั้งแต่แบบคู่รัก นักเดินทาง จนถึงการเข้าพักแบบครอบครัวขนาดใหญ่ ผ่อนคลายด้วยพื้นที่นั่งเล่นบนสนามหญ้าสีเขียว หรือสระว่ายน้ำส่วนตัวที่เชื่อมต่อกับระเบียงหน้าห้องพัก เทวัญดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน ตั้งอยู่ไม่ห่างจากใจกลางเมืองหัวหิน โดยใช้เวลาเดินทางแต่เพียง 12 นาที ทั้งยังตั้งอยู่ใกล้กับสนามกอล์ฟระดับโลกอีกด้วย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เทวัญดารา รีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน

 

3. ปราณลักษณ์ รีสอร์ท

ปราณลักษณ์ รีสอร์ท ตกแต่งหรูหราสไตล์ Modern ผสาน Thai-Contemporary พร้อมสระส่วนตัว โดดเด่นด้วยหลังคาโค้งสูงโปร่งที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของคลื่นทะเล ตัววิลล่าล้อมรอบด้วยพันธุ์ไม้ทรอปิคอล ให้ความรู้สึกถึงวันพักผ่อนที่สดชื่น เงียบสงบ และเป็นส่วนตัว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> ปราณลักษณ์ รีสอร์ท

 

4. เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา

เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ท & สปา ตั้งอยู่อย่างโดดเด่นท่ามกลางหาดทรายขาว ของหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต พร้อมนำคุณสู่ช่วงเวลาพิเศษสุดของการพักผ่อน ท่ามกลางภูมิประเทศแสนสวยของเขตทรอปิคอล และทะเลอันดามัน ใช้เวลาของคุณไปกับที่พักสุดหรูตามแบบสถาปัตยกรรม contemporary สิ่งอำนวยความสะดวกระดับ 5 ดาว และบริการชั้นเลิศจากทีมงาน

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เรเนซองส์ ภูเก็ต รีสอร์ท แอนด์ สปา

 

5. คาลิม่า รีสอร์ท & สปา ภูเก็ต

สัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนในรีสอร์ทอิงขุนเขา สุดโรแมนติกเกินคำบรรยาย ที่ คาลิมา รีสอร์ท&สปา ที่พักหรูแนว eco-friendly พร้อมเชิญชวนผู้มาเยือนสัมผัสความประทับใจน่าหลงใหลกับสถาปัตยกรรมการออกแบบสุดหรูตื่นตาตื่นใจกับห้องพักหลากรูปแบบ สะดวกสบายกับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมี่ยมครบครัน พร้อมผ่อนคลายไปกับทิวทัศน์ที่สวยงามดั่งต้องมนต์ของท้องทะเลอันดามันที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> คาลิม่า รีสอร์ท&สปา ภูเก็ต

 

6. เดอะเบลล์ พูลล์วิลล่ารีสอร์ท ภูเก็ต

พักผ่อนในวิลล่าหรูเหนือระดับภายใต้บรรยากาศส่วนตัว เงียบสงบ ให้คุณหลีกหนีจากมลพิษและความวุ่นวายของเมืองใหญ่กับ เดอะเบลล์ พูล วิลล่า รีสอร์ท ภูเก็ต เปิดให้บริการวิลล่าขนาดใหญ่ ตั้งแต่ 1 ถึง 4 ห้องนอน รองรับคู่รักฮันนีมูน ครอบครัวที่เดินทางพร้อมเด็กเล็ก หรือกลุ่มเพื่อน พร้อมให้ผู้เข้าพักได้ถึงความผ่อนคลายด้วยสระว่ายน้ำส่วนตัวขนาดกว้างกว่า 34 ตารางเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ที่พรั่งพร้อม รอคอยการมาเยือนของแขกคนพิเศษ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เดอะเบลล์ พูลล์วิลล่ารีสอร์ท ภูเก็ต

 

7. เดอะ นาคา ภูเก็ต 

เดอะ นาคา ภูเก็ต สรวงสวรรค์ของการพักผ่อนแสนโรแมนติก ผสานความงามของธรรมชาติ และความหรูหราเหนือระดับของสถาปัตยกรรมตกแต่งเขาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว รังสรรค์เป็นพูลวิลล่าจำนวน 92 หลัง เรียงตัวโดดเด่นท่ามกลางภูมิทัศน์งดงามตระการตาของอ่าวกมลา บริเวณชายฝั่งตะวันตกจังหวัดภูเก็ต พร้อมให้ผู้เข้าพักสัมผัสถึงความเงียบสงบเป็นส่วนตัว ไร้สิ่งรบกวนจากภายนอก มีเพียงหาดทราย ท้องทะเล ภูเขา และสวนพันธุ์ไม้นานาชนิดรายล้อม

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เดอะ นาคา ภูเก็ต

 

8. อัสสรา วิลล่าแอนด์สวีท หัวหิน

อัสสรา วิลล่า แอนด์ สวีท ตั้งอยู่ ณ อ.หัวหิน โดยใช้ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพมหานครเพียง 2 ชั่วโมง โดยเปิดให้บริการห้องสวีท และพูลวิลล่าส่วนตัว ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเป็นส่วนตัว เหมาะสำหรับวันพักผ่อนของคู่รัก ห้องพักพูล วิลล่าตกแต่งแบบบูทีค ภายในวิลล่าประกอบด้วย เตียงนอน ห้องนั่งเล่น เดย์เบด ห้องน้ำและห้องอาบน้ำแยกเป็นสัดส่วน พร้อมฝักบัวเรน-ชาวเวอร์ และอ่างอาบน้ำ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> อัสสรา วิลล่าแอนด์สวีท หัวหิน

 

9. ศิลาวดี พูล สปา รีสอร์ท

ศิลาวดี พูล สปา รีสอร์ท ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะสมุย บน “แหลมหนัน” ซึ่งลักษณะแวดล้อมมีทัศนียภาพและโขดหินขนาดใหญ่ที่สวยงาม โดยอยู่ห่างจากหาดละไมซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวอันลือชื่ออย่างหินตาหินยาย เพียง 5 นาทีและเพียง 15 นาทีจากหาดเฉวง ด้วยการออกแบบอย่างพิถีพิถันของตัวรีสอร์ทผนวกกับการบริการที่จริงใจและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้ศิลาวดีมีเอกลักษณ์เฉพาะในหลายๆด้าน และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ที่แสวงหาความสงบ ความเป็นส่วนตัวและการบริการอันน่าประทับใจ เพื่อสร้างประสบการณ์ การพักผ่อนที่น่าจดจำ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> ศิลาวดี พูล สปา รีสอร์ท

 

10. เดอะสราญ เกาะสมุย

‘เดอะ สราญ’ พร้อมเปิดประสบการณ์วันพักผ่อนสุดหรูสไตล์ Oceanfront Villa ริมหาดเฉวงน้อยอันเงียบสงบ น่าพักผ่อน
ภายใต้คอนเซปต์ ‘เดอะ สราญ’ ที่ที่ความสุข ความเบิกบานทั้งกายใจ และจิตวิญญาณหลอมรวมเป็นหนึ่ง รีสอร์ทตั้งอยู่ไม่ห่างจากแหล่งสีสันยามค่ำคืนของสมุย ทั้งยังอยู่ห่างจากสนามบินนานาชาติสมุยเพียง 20 นาที ให้คุณได้เพลิดเพลินกับธรรมชาติงดงาม ในทำเลที่ไม่ห่างจากสีสันความสนุกสนานยามค่ำคืนของเกาะสมุย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เดอะสราญ เกาะสมุย

 

11. บันยัน ทรี สมุย

บันยัน ทรี สมุย สรวงสวรรค์ของวันพักผ่อนท่ามกลางความสดชื่นเขียวขจีของพืชพันธุ์เมืองร้อน และทัศนียภาพท้องทะเลอันน่าตื่นตะลึง พักกายใจสู่วันพักผ่อนเงียบสงบที่ซึ่งขอบน้ำและขอบฟ้าบรรจบจนเป็นผืนแผ่นเดียวกัน ช่างสวยงามน่าประทับใจ วิลล่าแต่ละหลังสร้างบนเนินเขาเผยให้เห็นทัศนียภาพสวยงามดั่งภาพวาดของท้องทะเลอ่าวไทย

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> บันยัน ทรี สมุย

 

12. เดอะ ซี เกาะ สมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา

เดอะ ซี เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา ตั้งอยู่โดดเด่นด้านหน้าหาดขนานคู่ไปกับชายฝั่ง ท่ามกลางหาดทรายขาวและน้ำทะเลเขียวมรกต เดอะ ซี เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา ปลูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมหรูหราทันสมัยล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ ดอกกล้วยไม้และพันธุ์ไม้เขตร้อนให้ความสดชื่นตลอดการพักผ่อน เปิดให้บริการห้องพักประเภทวิลล่าและห้องสวีทตกแต่งทันสมัยสไตล์ทรอปิคอลเน้นบรรยากาศอบอุ่นผ่อนคลายเหมือนได้พักผ่อนในบ้านของคุณเอง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เดอะ ซี เกาะสมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา

 

13. เลอ คอรัล ไฮด์อะเวย์ บียอนด์ ภูเก็ต รีสอร์ท

พบกับวันหยุดแสนสบาย และเงียบสงบ เป็นส่วนตัวริมหาดนาใต้ จ.พังงา เพียง 30 นาที จากสนามบินนานาชาติภูเก็ต 30 นาทีโดยรถยนต์ พบกับความเงียบสงบ ที่ผสานความหรูหราของสภาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างได้อย่างลงตัว เพลิดเพลินกับการใช้เวลาสัมผัสทิวทัศน์งดงามตระการตาของทะเลอันดามัน แต่งแต้มสีสันวันหยุดของคุณไปกับสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมหลากหลายในรีสอร์ทไม่ว่าจะเป็น ห้องอาหาร สปา บาร์ และสระว่ายน้ำ ให้วันพักผ่อนของคุณเต็มไปด้วยความทรงจำประทับใจที่ เลอ คอรัล ไฮด์อะเวย์ บียอนด์ ภูเก็ต รีสอร์ท

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เลอ คอรัล ไฮด์อะเวย์ บียอนด์ ภูเก็ต รีสอร์ท

 

14. เดอะ พาราไดซ์ เกาะยาว บูติค บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา

เดอะ พาราไดซ์ เกาะยาว บูติค บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา สรวงสวรรค์แห่งการพักผ่อน รีสอร์ทตั้งอยู่บนเกาะยาวน้อย เกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่ในทำเลระหว่างเกาะภูเก็ต และจังหวัดกระบี่ โดยใช้ระยะเวลาเดินทางจากภูเก็ต หรือกระบี่เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น บนเกาะยาวน้อยคุณจะได้พบกับความงามบริสุทธิ์ของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เงียบสงบ เหมาะสำหรับการพักผ่อนแสนโรแมนติค ที่นี่คุณจะได้พบฝูงนกเงือก ป่าเขียวขจี และเห็นวิวเกาะน้อยใหญ่งดงามอยู่เบื้องหน้า

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> เดอะ พาราไดซ์ เกาะยาว บูติค บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา

 

15. ถาวร ปาล์ม บีช

ถาวร ปาล์ม บีชพักผ่อนหย่อนใจไปกับ สระว่ายน้ำที่สวยงามทั้ง 5 สระ ท่ามกลางสวนสวนสวย ริมหาดกะรน
1. Blue Heaven Pool สระว่ายขนาดใหญ่ภายใต้ร่มเงาอันร่มรื่นของต้นไม้หลากหลายชนิด พร้อมรับบริการจาก Blue Heaven PoolBar ที่จะคอยบริการอาหารและเครื่องดื่มให้ทุกท่าน ถึงข้างเตียงอาบแดดรอบสระน้ำ
2. Crocodile Pool สัมผัสไอแดดอันแสนอบอุ่นแห่งเมืองภูเก็ตในสระว่ายแบบส่วนตัวอยู่ห่างจากหาดกะรนเพียงไม่กี่ก้าว

3. Paradise Pool ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนสวย พร้อมรับบริการนวดไทยข้างสระ

4. Chaba Pool สูดไอทะเลให้เต็มปอด กับสระว่ายน้ำสุดคูล ให้คุณได้พักผ่อนและเพลิดเพลินเครื่องดื่มแก้วโปรดของคุณ ในบาร์กลางสระน้ำ(swim up bar)ให้บริการอาหารตามเมนู ของว่าง ไอศครีม เครื่องดื่ม และค็อกเทล
5. The children’s pool ตั้งอยู่ข้าง Kids club ปล่อยให้เด็กๆของคุณได้มีความสุขในสระน้ำกลางสวนสวย โดยมีคุณคอยดูแลอยู่บนเตียงอาบแดดข้างสระ

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> ถาวร ปาล์ม บีช

 

16. ถาวร บีช วิลเลจแอนด์สปา

ถาวร บีช วิลเลจแอนด์สปาตื่นตาตื่นใจไปกับสระว่ายน้ำฟรีฟอร์มที่มีขนาดใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กว่า 4,900 ตรม.) สัมผัสประสบการณ์ใหม่แห่งการพักผ่อนในสระว่ายน้ำติดชายหาดริมทะเลและสวนสวย พร้อมให้คุณได้พักผ่อนและเพลิดเพลินไปกับเครื่องดื่มแก้วโปรดของคุณ ในบาร์กลางสระน้ำ(swim up bar)ให้บริการอาหารตามเมนู ของว่าง ไอศครีม เครื่องดื่ม และค็อกเทล (Crocodile Poolbar) สนุกสนานไปกับกิจกรรมต่างๆมากมาย ทั้งในสระน้ำและรอบสระ อาทิเช่น โปโลน้ำ, ลูกบอลเดินบนน้ำ, วอลเลย์บอลชายหาด, ฟุตบอลชาดหาด, โยคะ ฯลฯมีเจ้าหน้าที่รอบสระที่จะคอยดูแลความปลอดภัยให้คุณตลอดเวลา

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิก >> ถาวร บีช วิลเลจแอนด์สปา

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

          

          สะพานมอญ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า สะพานอุตตมานุสรณ์​ เป็นสะพานไม้ข้ามแม่น้ำซองกาเลียไปยังหมู่บ้านมอญ ถือเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับสองของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในพม่า และเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอสังขละบุรี เป็นสะพานแห่งศรัทธา ที่เกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของชุมชนที่อาศัยอยู่ในสังขละบุรี ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวมาสัมผัสธรรมชาติ พร้อมๆ กับการได้เห็นวิถีชีวิตชุมชนชาวมอญในแถบนี้ สิ่งที่ห้ามพลาดอีกอย่างหนึ่งก็คือการได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก กับสะพานที่เสมือนเป็นสายใยวัฒนธรรมของชาวมอญและไทยในดินแดนสุดขอบประเทศแห่งนี้

          การเที่ยวชมสะพานมอญ ควรแวะเดินชมตั้งแต่เช้า โดยเฉพาะช่วงเวลา 6.00 – 7.00 น. เป็นช่วงที่ได้เห็นวิถีชีวิตชาวมอญ ใส่บาตรพระทุกเช้า หากนักท่องเที่ยวต้องการใส่บาตร ก็มีอาหารขายบริเวณหมู่บ้านมอญ สายๆ หากเดินข้ามฝั่งไปยังหมู่บ้านมอญ ก็สามารถเที่ยวชมบ้านเรือนในแบบชาวมอญ ซื้อของที่ระลึก หรือจะแวะชิมขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วย ที่เป็นอาหารพื้นบ้านชาวมอญก็ได้

วิถีชีวิตชาวมอญที่พบเห็นได้บริเวณสะพานมอญ และหมู่บ้านมอญ
เมื่อความเจริญค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่หมู่บ้านมอญ การเดินทางมีความสะดวกสบายขึ้น ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น มีธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาในสังคม ทำให้วิถีชีวิตชาวมอญเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แทรกซึมเข้ามาสู่ชุมชน แต่ก็ยังได้เห็นกลิ่นไอความเป็นมอญบางอย่างหลงเหลืออยู่บ้้าง แต่ละครอบครัวในหมู่บ้านมอญ ส่วนใหญ่คนหนุ่มสาว จะเข้าไปรับจ้างทำงานในตัวเมือง เราจึงมักเห็นการดำเนินชีวิตประจำวันแบบมอญของเด็กๆ และผู้สูงวัย มากกว่าวัยรุ่น

นักท่องเที่ยวที่มาสังขละบุรีจึงอาจจะได้เห็นลักษณะความเป็นมอญบางอย่างที่หลงเหลืองอยู่

 – กิจวัตรประจำวันของชาวมอญ ที่นักท่องเที่ยวสนใจกันเป็นอย่างมาก คือการใส่บาตรในช่วงเช้า โดยเฉพาะผู้เฒ่าผู้แก่ที่จะตื่นแต่เช้า นำขันใส่ข้าวสวยมานั่งรอบนพื้นถนนเป็นแถว เพื่อรอพระมาบิณฑบาตร ชาวบ้านมักจะใส่บาตรด้วยข้าวสวย และดอกไม้ และกราบพระลงกับพื้นถนน ซึ่งเป็นภาพที่น่าประทับใจสำหรับนักท่องเที่ยว หากใครต้องการใส่บาตร ก็สามารถร่วมใส่บาตรตอนเช้ากับชาวมอญได้ เพราะมีชุดสำหรับใส่บาตรจำหน่ายให้นักท่องเที่ยวด้วย

 – จะได้เห็นวัฒนธรรมการเทินของไว้บนหัวของชาวมอญ ซึ่งบางคนยังคงนิยมเทินสิ่งของไว้บนหัว แทนการห้ิวสัมภาระมากมาย บางคนสามารถเทินของได้สูงๆ หรือหนักมากๆ แล้วยังสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่ว 

– ได้เห็นวัฒนธรรมการแต่งกายของชาวมอญ สังเกตได้จากการแต่งกายโดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงจะนุ่งผ้าซิ่น หรือผ้าถุง เสื้อแขนกระบอกสามส่วน มีผ้าแถบยาวเหมือนสไบพาดไว้ที่บ่า ผมรวมมัดเป็นมวยไว้ด้านหลัง ผู้ชายนิยมนุ่งโสร่ง บนใบหน้าของหญิงชายชาวมอญ รวมถึงเด็กๆ นิยมทาแป้งทานาคา ที่มีสีออกเหลืองนวลๆ ฉาบไว้ที่ใบหน้า (แป้งทานาคาทำจากท่อนไม้ต้นทานาคาฝนกับแป้นหินทราย ทาบนหน้าแล้วเกลี่ยด้วยแปรง)

– ในหน้าร้อน บริเวณสะพานมอญ เหมือนเป็นสวนน้ำสำหรับเด็กๆ จะมีเด็ก มาเล่นน้ำใสๆ ในแม่น้ำซองกาเลีย และกระโดดน้ำจากสะพานมอญ

– เดิมบ้านของชาวมอญมักปลูกสร้างด้วยไม้กระดาน หรือเป็นไม้ไผ่สานขัดแตะ ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเป็นสร้างด้วยปูนบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีบางบ้านที่ยังคงสภาพเดิมๆ ไว้ ให้เห็นถึงความเป็นบ้านมอญ ถ้าสังเกตดีๆ บ้านมอญมักจะมีผนังด้านหนึ่ง ทำเป็นเหมือนส่วนเกินยื่นออกมาคล้ายมุขหน้าต่าง นูนเป็นกล่องตรงผนังบ้าน มุขที่ว่านี้ก็คือ ห้องพระ หรือหิ้งพระของบ้าน บางบ้านจะตกแต่งส่วนของมุขนี้ไว้อย่างสวยงาม

 

สถานที่ท่องเที่ยวใกล้สะพานมอญ

– ตลาดวัดวังก์  อยู่ห่างไปประมาณ 1 กิโลเมตร เดินข้ามสะพานมอญไป แล้วเดินผ่านหมู่บ้านชาวมอญ จนถึงถนนเส้นหลัก ข้ามถนนไปตลาดอยู่เยื้องๆ ไปทางซ้ายมือ

– วัดวังก์วิเวการาม  อยู่ห่างไปประมาณ 2.7 กิโลเมตร

– เจดีย์พุทธคยา  อยู่ห่างไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร

 

ข้อแนะนำ
– นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชมวิว และสัมผัสอากาศเย็นในช่วงเข้าฤดูหนาว ประมาณเดือน พฤศจิกายน-มกราคม ตอนเช้าจะได้สัมผัสไอหมอกที่ปกคลุมบนท้องน้ำและยอดเขา

– การเที่ยวชมสะพานไม้มอญ มักจะเป็นช่วงเช้าหรือช่วงเย็น และหัวค่ำ ช่วงกลางวันแดดค่อนข้างร้อน

– หากต้องการร่วมใส่บาตรบริเวณสะพานไม้มอญ ควรไปถึงบริเวณสะพานก่อน 6.00 น. การใส่บาตรจะอยู่ฝั่งหมู่บ้านมอญ มีร้านค้าจำหน่ายของใส่บาตรไว้เป็นชุดๆ จำหน่ายชุดละ 99 บาท (สามารถโทรติดต่อสอบถาม หรือสั่งจองได้ที่ ร้านป้าหยิน โทร. 08-1792-4244, 09-0794-2448)

– บริเวณสะพานมอญ (ฝั่งหมู่บ้านมอญ) มีที่บริการจอดรถ เลี้ยวเข้าซอยสะพานไม้ สุดซอยซ้ายมือมีที่จอดรถแบบเก็บค่าบริการ (20 บาท)

 การเดินทางไปสะพานมอญ สะพานมอญมีสองฝั่ง ฝั่งนึงอยู่ห่างจากตัวเมืองสังขละบุรีไปประมาณ 1.5 กิโลเมตร หากขับรถไปฝั่งหมู่บ้านมอญระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร

รถยนต์
กรุงเทพฯ – อำเภอสังขละบุรี 360 กิโลเมตร
ตัวจังหวัดกาญจนบุรี – อำเภอสังขละบุรี 215 กิโลเมตร
อำเภอทองผาภูมิ – อำเภอสังขละบุรี 75 กิโลเมตร
ตัวอำเภอสังขละบุรี – สะพานมอญ 5 กิโลเมตร

– จากตัวเมืองกาญจนบุรี วิ่งบนถนนแสงชูโตที่เป็นถนนสายหลัก ถึงสี่แยกแก่งเสี้ยน เลี้ยวซ้ายไปตามป้ายอำเภอไทรโยค – ทองผาภูมิ (ทางหลวงหมายเลข 323)

– ก่อนเข้าตัวอำเภอทองผาภูมิ มีสามแยก เลี้ยวขวาไปทางอำเภอสังขละบุรี (ด่านเจดีย์สามองค์) ผ่านวัดท่าขนุน ป้อมปี่ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม สะพานข้ามแม่น้ำรันตี

– ก่อนเข้าตัวอำเภอสังขละบุรี มีทางแยก ตรงไปทางอำเภอสังขละบุรี (จะมีป้ายบอกเป็นทางไปวัดวังก์วิเวการาม) วิ่งผ่านตัวอำเภอสังขละบุรี ข้ามสะพานซองกาเลีย แล้วจึงจะมีป้ายบอกเลี้ยวซ้ายเข้าซอยสะพานไม้ สุดซอยจะเป็นสะพานอุตตมานุสรณ์ (สะพานมอญ) สุดซอยซ้ายมือจะมีที่สำหรับจอดรถแบบเสียค่าจอด (ประมาณ 20 บาท)

รถประจำทาง
1.นั่งรถทัวร์ กรุงเทพฯ – ด่านเจดีย์สามองค์ จากสถานีขนส่งสายเหนือ หมอชิต 2 มี 4 เที่ยว คือ
รถปอ. 1   : เวลา 5.00 น. และ 6.00 น. ราคา 293 บาท
รถปอ. 2   : เวลา 9.30 น. และ 12.30 น. ราคา 228 บาท
รถทัวร์ขากลับ ด่านเจดีย์สามองค์ – กรุงเทพฯ​
รถปอ. 1   : เวลา 13.30 น. และ 14.30 น. ราคา 293 บาท
รถปอ. 2   : เวลา 7.00 น. และ 10.00 น. ราคา 228 บาท

** บอกคนขับว่าต้องการลงสังขละบุรี รถจะไปจอดให้ที่ตลาดสังขละ จากนั้นเดินต่อ หรือเหมารถไปสะพานมอญ

2.นั่งรถทัวร์ หรือรถตู้ กรุงเทพฯ – กาญจนบุรี จากสายใต้ หรือหมอชิต แล้วต่อรถที่ขนส่งกาญจนบุรี ไปสังขละบุรี จากนั้นเดินต่อ หรือเหมารถไปสะพานมอญ

ข้อมูลจากเว็บ   Kanchanaburi

เรียบเรียงโดย www.HotelAndResortThailand.com

หลวงพระบางเป็นเมืองเก่าแก่ของอาณาจักรล้านช้าง ตั้งแต่สมัยสถาปนาอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่าเมืองซวา (ออกเสียงว่า ซัว) และเมื่อ พ.ศ. 1300 ขุนลอ ซึ่งถือเป็น ปฐมกษัตริย์ลาวได้ทรงตั้งเมืองซวาเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างและได้เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่าเชียงทอง หลวงพระบางได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผล คือ มีวัดวาอารามเก่าแก่มากมาย มีบ้านเรือนอันเป็นเอกลักษณ์โคโลเนียลสไตล์ ตัวเมืองตั้งอยู่ริมน้ำโขงและน้ำคาน ซึ่งไหลบรรจบกันท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม และชาวหลวงพระบางมีบุคลิกที่ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตร และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่งดงาม ในขณะที่มรดกโลกแห่งอื่นอาจได้ขึ้นทะเบียนอย่างจำเพาะเจาะจงในโบราณสถาน ธรรมชาติ แต่หลวงพระบางทั้งเมืองได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2538 และยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองที่ได้รับการปกปักรักษาที่ดีที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

วัดเชียงทอง

ตั้งอยู่บนถนนโพธิสารราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงาม ได้รับการมาเยือนชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดก็ว่าได้ นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทอง เป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทร์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงค์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว รูปแบบสถาปัตยกรรมทางศาสนา แบบหลวงพระบางแท้ คือมีหลังคาแอ่นโค้ง และลาดลงต่ำมากจนแลดูค่อนข้างเตี้ย พระโพธิสารราชเจ้า ทรงสร้างวัดเชียงทองขึ้นในปี ค.ศ. 1560 และมีฐานะเป็นวัดหลวงในพระราชูปถัมภ์เรื่อยมาจนถึงปี 1975 ติดกับพระอุโบสถมีวิหารเล็กๆหลังหนึ่งเรียกกันว่า “วิหารแดง” ภายในประดิษฐฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่งามแปลกตากว่าที่อื่นใดด้วยสัดส่วน จีวรที่จีบเป็นริ้วโค้งออกมาทางด้านนอกตรงเหนือช้อพระบาท และ พระหัตถ์ซึ่งรองรับพระเศียรไว้อย่างสง่างาม และอ่อนช้อย พระพุทธรูปองค์นี้เคยถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1931 และ ไปประดิษฐานอยู่เวียงจันทร์หลายสิบปีก่อนกลับคืนสู่หลวงพระบางในปี ค.ศ.1964

 

 วัดแสนสุขาราม

ในบรรดาวัดท้งหมดวัดแสนสุขารามนั้นที่เป็นเจ้าของ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่องค์เดียวในเมืองหลวงพระบาง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทร์เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งก่อนหน้านั้นบริเวณที่สร้างวัดแสนสุขารามมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้นสร้างขึ้นเมื่อ คริสตวรรษที่ 15 พระยืนที่สูงและใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว ข้างหอพระยืนมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง ส่วนพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการทาสีแดงและเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดงภายในมีการตกแต่งประดับประดาที่มีสีสันสวยสดงดงามหาที่ติ พระประธานมีความงามชดช้อย

วัดใหม่สุวรรณภูมาราม

ชาวหลวงพระบาง เรียกสั้นๆว่า วัดใหม่ ซึ่งมีอายุในต้นศตวรรษ ที่ 19 และ เคยเป็นที่ประทับของ สมเด็จพระสังฆราชลาว มาก่อน อุโบสถของวัดนี้สร้างด้วยเครื่องไม้มีหลังคาซ้อนกัน ห้าชั้นตามแบบหลวงพระบาง กำแพงพระระเบียงด้านหน้า ทำเป็นลายรดน้ำปิดทองเล่าเรื่องรามายณะและพระเวสสันดรชาดก พระบางเคย ประดิษฐานอยู่ที่วัดนี้ในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 และ ในวันปีใหม่จะมีการแห่แหน พระบางออกมา ให้ประชาชนได้สักการะบูชากันที่นี่ ปัจจุบันวัดใหม่ใช้เป็นโรงเรียนปริยัติธรรม

 

พระราชวังหลวงพระบาง

ซึ่งตั้งอยู่ทางขึ้นภูษีทางบันไดด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ อยู่ใกล้กับที่ตั้งของ พระราชวัง มีถนนศรีสว่างวงค์สายเล็กๆคั่นเอาไว้นักท่องเที่ยวจึงสามารถเดินเที่ยวชมพระราชวัง ค่าเข้าชมที่นี่คนละ 10,000 กีบ ภายในจัดแสดงประวัติศาสตร์ อันเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี 1904 เพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงค์ ลักษณะ เป็นศิลปะแบบลาวผสมฝรั่งเศส มีแผนผังเป็นรูปกากบาท และ สร้างฐานซ้อนกันหลายชั้น ห้องโถงด้านหน้าเป็นที่ประดิษฐาน พระบางซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของลาว องค์พระสูง 83 เซนติเมตร พระหัตถ์แสดงปางอภัยมุทรา หล่อขึ้นด้วยทองคำ บริสุทธิ์เกือบทั้งองค์ รวมน้ำหนักทั้งสิ้นราว 43 ถึง 54 กิโลกรัม คามตำนานเล่าว่า พระพุทธรูปองค์นี้สร้างขึ้นที่เกาะสิงหลเมื่อราวศตวรรษ ที่ 1 เจ้าฟ้างุ้ม ทรงได้รับพระราชทานจากกษัตริย์เขมรมาอีกต่อหนึ่ง แต่ก็ต้องตกไปอยู่ในเมืองสยามถึงสองครั้ง ปี 1779 และ 1827 จน ปี 1867 พระบาทสมเด็จพระจอเกล้าฯจึงทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานกลับคืน ไปให้ภายในห้องยังมีฉากลับแลผ้าไหมปักลวดลาย ด้วยฝีมือ ประณีตและงาช้างแกะสลักอีกไม่น้อยที่เหลือเป็นเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ภาพบุดคล บรรณาการจากต่างชาติ และ งานศิลปะมากมายและงานประดับกระเบื้องอยู่รอบๆตัวอาคาร และ ยังมีโรงละครภายในราชวัง ตรงข้ามหอพระบางซึ่งเย็นวันนี้จะมีการแสดง พระลักษณ์ พระราม ในเวลา 18.00 น. เป็นการแสดงของนักเรียน ซึ่งเพิ่งเริ่มเปิดการแสดงไม่นานนี้เองซึ่งใช้เวลาที่นี่ ต้องก่อน 11.00 น. เพราะพระราชววังจากปิดรับประทานอาหารเที่ยง และ นอนพัก ซึ่งที่นี่จะเปิดอีกที ก็ประมาณ 13.00 น.

 

วัดวิชุนราช

ซึ่งตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวงพระบาง ถนน วิชุนราช ค่าเข้าชมคนละ 5,000 กีบ ในบรรดาวัดทั้งหมดของเมืองหลวงพระบางเป็นต้องยกให วัดวิชุน ในความแปลกที่พระธาตุเจดีย์ รูปโค้งมนเหมือนผลแตงโม และ เจดีย์รูปทรงแปลกตานี้เอง ที่กระทรวงแถลงข่าว และวัฒนธรรมของลาวยกให้มีความสำคัญ ความโดดเด่น ของวัดวิชุน แม้เพียงนั่งรถผ่านไปถนนวิชุนราชก็ จะแลเห็นเจดีย์รูปแตงโมผ่าครึ่งนี้สะดุดตา และ ภายในพระอุโบสถของวัดวิชุน ด้านหลังของพระประธานมีโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมมาจากวัดร้างต่างๆ ในหลวงพระบาง เช่น พระพุทธรูปสำริด ไม้จำหลัดลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปไม้แกะสลักลงรัก ปิดทองเท่าคนจริงจำนวนมาก พระธาตุจอมษีบนยอดเขาสูงสุดของภูษี สถานที่ท่องเที่ยที่นิยมมากที่สุดที่ไม่ควรพลาด เป็นสเมือน “ถ้ามาถึงหลวงพระบาง ไม่ได้ขึ้นยอดเขาภูษีถือว่าไม่ถึง หลวงพระบาง หรือ เที่ยวเชียงใหม่ แล้วไม่ขึ้นไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ก็มาไม่ถึงเชียงใหม่เช่นเดียวกัน” ยอดเขาภูษี เพื่อจะชมความงามของพระอาทิตย์ตกดิน ยอดเขา ภูษี เป็นยอดเขาที่มีความสูงราว 150 เมตร ตั้งอยู่ใจกลางเมือง หลวงพระบาง การได้เดินขึ้นไปบนยอดเขาภูษี 328 ขั้น ทำให้เห็นเมืองหลวงพระบาง และ เห็นสายลำแม่น้ำโขงและ แม่น้ำคานอย่างชัดเจน และ ใกล้นี้เองก็ชมพระธาตุจอมสี ตั้งอยู่บนยอดสูงของภูษี พระธาตุสามารถมองเห็นได้แต่ไกลรอบๆเมือง หลวงพระบาง ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมทาสีทอง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมยอดประดับด้วยเศวตฉัตรทองสำริด 7 ชั้น สูงประมาณ 21 เมตร ช่วงที่งดงามมากที่สุด คือช่วงบ่าย แสงแดดจะสาดส่องมายังที่พระธาตุให้เห็นเป็นสีทองเหลืองอร่ามตา มีทางเดินรอบๆพระธาตุนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ สเมือนที่นี่เป็นจุดนัดพบของเหล่านักท่องเที่ยวนานาชาติ ที่กระหายหาความงดงามของพระอาทิตย์ยามอัสดงอย่างแน่นหนาทีเดียว

 

 น้ำตกกวางสี

น้ำตกกวางสี หรือ ตาดกวางซี เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดของหลวงพระบาง น้ำตกแห่งนี้อยู่นอกเมืองหลวงพระบางไปทางทิศใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร สภาพทางเป็นถนนลาดยาง ทางคดเคี้ยวเล็กน้อย

ชื่อของน้ำตกกวางสี หมายถึง กวางหนุ่มที่เขาเพิ่งเริ่มงอก (ภาษาไทยเรียกกวางซีหรือกวางเขาซี) น้ำตกวางสีเป็นน้ำตกหินปูน สายน้ำทิ้งตัวจากหน้าผาสูงกว่า 70 เมตร สู่แอ่งน้ำกว้างเบื้องล่าง ทำให้เกิดละอองฝอยของไอน้ำพุ่งกระจายทั่วบริเวณ โดยบริเวณด้านล่างน้ำตกจะมีสะพานและเส้นทางให้เดินในชมมุมต่างๆ ตลอดจนมีที่นั่งให้ชมทิวทัศน์และพักผ่อนหย่อนใจ น้ำตกกวางสีมีน้ำไหลตลอดปี อากาศเย็นสบาย แต่ช่วงที่สวยที่สุดคือ ปลายฝนต้นหนาว เพราะน้ำจะใส ป่าจะเขียว อนุญาตให้เล่นน้ำได้เป็นบางจุดตามป้ายเตือนไว้เท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากใกล้ชิดน้ำตกก็มีทางเดินด้านข้างให้เลาะไปยังชั้นบน ซึ่งควรระมัดระวังในการเดินเพราะจะเป็นเส้นทางที่ลื่นชัน

น้ำตกกวางสีอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ภายใต้การดูแลจากเจ้าหน้าที่กระทรวงกสิกรรมและป่าไม้ การไปเที่ยวน้ำตกจะต้องผ่านด่านตรวจซึ่งปิดในเวลา 15.00 น. นักท่องเที่ยวจึงควรไปถึงก่อนเวลา น้ำตกกวางสีมักมีชาวหลวงพระบางนิยมไปเที่ยวกัน โดยเฉพาะในยามมีงานบุญหรือเทศกาล ตามเ้ส้นทางสู่น้ำตกกวางสี จะได้พบกับวิถีชีวิตอันแท้จริงของบรรดาชนเผ่าในลาว โดยเฉพาะหมู่บ้านลาวเทิง เช่น หมู่บ้านท่าแป้น บ้านตาด บ้านอู้

ส่วนบริเวณด้านหน้าทางเข้า นักท่องเที่ยวจะพบร้านอาหารตามสั่ง ร้านอาหารประเภทปิ้งปลา ปิ้งไก่ ส้มตำ และเหล้าเบียร์ให้บริการอยู่หลายร้าน นอกจากนี้ ยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เลือกซื้อกลับไป ส่วนใหญ่เป็นของใช้ที่ทำจากไม้ไผ่หลายชนิด

การเดินทางไปน้ำตกกวางสี มีรถจัมโบ้ออกจากตลาดชาวเขาหรือตลาดม้ง ตรงสี่แยกกลางเมือง แต่หากไปกันน้อยคนจะต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็ม รถจึงออก หรือมิฉะนั้นต้องเหมารถไป

น้ำตกตาดแซะ

น้ำตกตาดแซะเป็นแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ที่รายลอบไปด้วยความร่มรื่นของต้นไม้น้อยใหญ่ และด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ทำให้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ น้ำตกตาดแซะจะมีผู้คนทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวออกมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวนมาก

น้ำตกตาดแซะ เป็นน้ำตกหินปูนขนาดกลาง ชั้นของน้ำตกไม่สูงมากนัก เปรียบได้กับแก่งน้ำในประเทศไทย โดยมีสายน้ำไหลอาบมาตามลานหินกว้างลดหลั่นลงมาเป็นชั้นๆ ลงสู่แอ่งน้ำขนาดใหญ่ เสมือนเป็นสระว่ายน้ำที่ธรรมชาติบรรจงสร้างขึ้นมาอย่างงดงาม โดยนักท่องเที่ยวสามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มจากร้านค้าในบริเวณน้ำตกเพื่อมานั่งรับประทานอาหารได้ด้วย เพราะน้ำตกแห่งนี้มีเก้าอี้หินให้บริการตมบริเวณแอ่งน้ำรอบๆ น้ำตกให้พักผ่อนอัธยาศัยได้ทั้งวัน

การเดินทาง จากตัวเมืองหลวงพระบางสามารถเหมารถสามล้อหรือสี่ล้อเครื่องมาเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย โดยมาลงที่บ้านแอ่นริมน้ำคาน จากนั้นนั่งเรือรับจ้างของชาวบ้านล่องตามแม่น้ำคาน เข้าไปอีกประมาณ 15 นาที จะพบทางเข้าน้ำตก ซึ่งต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร จะพบน้ำตกตาดแซะ การเดินทางด้วยเรือไปตามแม่น้ำคานนี้ นับเป็นเสน่ห์สำคัญของการเที่ยวน้ำตกตาดแซะ

 

ตลาดม้ง

เป็นตลาดของชาวม้งที่อาศัยอยู่บริเวณรอบหลวงพระบาง เป็นชนกลุ่มน้อย กลุ่มหนึ่งที่มีความสำคัญ และ มีบทบาทในประเทศลาวมาก ตลาดม้งเป็นตลาดที่ เป็นสินค้าจากชาวเขาเผ่าม้งของลาว เช่น ผ้าทอปักลวดลายต่างๆ เช่น ปลอกหมอน กระเป๋า ผ้าห่ม เสื้อผ้า และ เครื่องเงิน ที่มีราคาถูกและ ย่อมเยา “ถ้ำติ่ง” ซึ่งเป็นสถานที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาแวะเยี่ยมชม ค่าเข้าชมถ้ำ ก็คนละ 8000 กีบ หรือ 20 บาท ก็ได้ ถ้ำติ่งประกอบด้วย 2 ถ้ำแยกด้านขวาไปถ้ำติ่งลุ่ม (ล่าง) แยกซ้ายไปถ้ำติ่งเทิง (บน) ถ้ำติ่งลุ่ม หรือ ถ้ำติ่งล่างนั้น สูง 60 เมตรจากพื้นน้ำมีลักษณะเป็นโพรงถ้ำตื้นเล็กๆมีหินงอกหินย้อย แต่ไม่ค่อยสวยเท่าไรนัก เป็นถ้ำที่มีพระพุทธรูปจำนวนมากมายหลายขนาด ส่วนมากเป็นพระยืนซะส่วนใหญ่ เจ้าหน้าที่ได้เล่าให้เราฟังว่า “สมัยโบราณเป็นที่สักการะบวงสรวงวิญญาณ ผีฟ้า ผี แถน และ เทวดาผาติ่ง ถ้ำติ่งแสดงถึงยุคแห่ง การปฏิวัติทางความเชื่อของชาวลาวในอดีตที่เคยนับถือผีพระเจ้าโพธิสารราชทรงเลื่อมใสพุทธศาสนา เป็นผู้นำพุทธศาสนาเข้ามา และ ทรงใช้ถ้ำติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ทางพุทธศาสนา มีการค้นพบพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในคริสตวรรษที่ 18-19 กว่า 2500 องค์ ส่วนใหญ่ทำจากไม้ เมื่อตอนค้นพบใหม่ๆมีพระพุทธรูปจำนวนหนึ่งที่ทำด้วยเงิน และ ทองคำ แต่ถูกลอกออกไปหมด” ส่วนถ้ำติ่งบนนั้นต้องเดินขึ้นไปบนเขาขึ้นบันไดประมาณ 200 ขั้น สองข้างทางร่มรื่นไปด้วยเงาไม้ มีห้องสุขาให้ไว้ คอยบริการสำหรับนักท่องเที่ยว สะดวกสบายมาก ถ้ำติ่งบนเป็นถ้ำไม่ค่อยลึกเท่าไร มีพระพุทธรูปอยู่มนถ้ำแต่ไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งล่าง

 

ย่านบ้านเจ็ก “ย่านบ้านจีนเก่าสไตล์ยุโรป” 

ย่านบ้านเจ็กทอดตัวยาวอยู่ระหว่างถนนศรีสว่างวงศ์ เป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองหลวงพระบาง ที่เรียกว่าบ้านเจ็ก เนื่องจากว่า สมัยก่อนเป็นย่านร้านค้าและที่อยู่อาศัยของคนเชื้อสายจีน(เจ็ก) ตึกแถวในละแวกนี้มีลักษณะเป็นห้องแถวแบบจีน แต่ประดับตกแต่งลวดลายคล้ายแบบยุโรปจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาคารส่วนใหญ่สร้างในสมัยพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ โดยผู้เป็นกำลังสำคัญในการปรับปรุงพัฒนาเมืองหลวงพระบางก็คือ เจ้าอุปราชบุญคง กล่าวได้ว่า สภาพผังเมืองหลวงพระบางในปัจจุบัน รวมทั้งอาคารที่ทำการของรัฐส่วนมากซึ่งก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมผสมยุโรปนั้น เกิดขึ้นในสมัยนั้น

ปัจจุบัน ตึกแถวสองข้างทางย่านบ้านเจ็กปรับปรุงเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านกินดื่ม และร้านอาหารนานาชาติ รวมทั้งแหล่งที่พักราคาย่อมเยาสำหรับนักเดินทางประเภทแบกเป้ด้วย ซึ่งส่วนมากอยู่ด้านหลังตึกแถวอาคารพาณิชย์ของบ้านเจ็ก บริเวณนี้จึงเป็นแหล่งชุมนุมของนักท่องเที่ยวตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน

เฮือนมรดกเชียงม่วน “บ้านไม้เก่าแก่ที่สุดในหลวงพระบาง”

เฮือนมรดกเชียงม่วน เป็นอาคารอนุรักษ์ขององค์การยูเนสโก กล่่าวกันว่า ดั้งเดิมเป็นของพระยาหมื่นนา ขุนนางในราชสำนักล้านช้าง ในสมัยหนึ่งขุนนาง และคหบดีเมืองหลวงพระบางนิยมปลูกเรือนตึกแบบฝรั่ง ทำให้อาคารไม้แบบเดิมถูกรื้อไปมาก ที่เหลือสภาพสมบูรณ์อยู่ก็เฉพาะเรือนหลังนี้เท่านั้น นับเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกได้อนุรักษ์ไว้เป็นแบบอย่างของบ้านลาวยุคโบราณ

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

 

 

     แผ่นดินรูปหัวใจ ทุ่งทะเลหลวง (แก้มลิง) ตำบลปากแคว อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย แผ่นดินมหัศจรรย์ เกิดจากแนวคิดโครงการแก้มลิงตามแนวพระราชดำริเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม และฝนแล้ง ใจกลางแผ่นดินแห่งนี้ได้สร้าง มนฑปทรงจตุรมุข ประดิษฐสถาน พระพุทธรัตนสิริสุโขทัย และเป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญประกอบพิธีทางศาสนาอีกด้วย

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

ช่วงวันหยุดเทศกาลปีใหม่นี้ หากใครยังไม่มีแผนไปเที่ยวไหนแวะมากันได้นะคะที่ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม

          จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ได้เปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรปีละครั้งในเดือน ธันวาคมให้บุคคลทั่วไปที่หลงใหลในธรรมชาติได้ชื่นชม บรรยากาศอันงดงาม และเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการเกษตร พร้อมเรียนรู้วงจรชีวิตของหนอนไหม ชมแปลงพืชผักและดอกไม้สีสวยสดนานาชนิด รวมถึงเลือกซื้อไม้ดอกไม้ประดับและผลผลิตทางการเกษตรปลอดสารพิษซึ่งปลูกด้วยความเอาใจใส่จากเหล่าเกษตรกรของจิม ทอมป์สัน ฟาร์ม

          เปิดให้เข้าชมทุกวันระหว่างวันที่ 13 ธันวาคม 2557 ถึง 11 มกราคม 2558 เวลา 9.00น.ถึง 17.00น. จิมทอมป์สัน ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ ต.ตะขบ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา สอบถามเพิ่มเติมโทร 02-762-2566, 085-660-7336

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com

จากประเทศไทยเราสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศลาวได้โดยผ่านพรมแดนจังหวัดเหล่านี้ค่ะ

1. จังหวัดเชียงราย (เชียงของ – ห้วยทราย)
2. จังหวัดหนองคาย (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว – นครหลวงเวียงจันทน์)
3. จังหวัดนครพนม – ท่าแขก
4. จังหวัดมุกดาหาร – สะหวันนะเขต
5. จังหวัดอุบลราชธานี (ด่านช่องเม็ก – วังเต่า)

 

เอกสารที่ควรเตรียมพกติดตัวไปด้วยค่ะ

1. หนังสือเดินทาง (Passport) นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางเข้า- ออกประเทศลาวได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า และสามารถอยู่ในลาวได้ไม่เกิน 30 วัน
2. บัตรผ่านแดนชั่วคราว (Temporary Border pass) สามารถเดินทางเข้าประเทศลาวได้แค่ในเขตเวียงจันทน์เท่านั้นและอยู่ได้ครั้งละ 3 วัน 2 คืน

 

เอกสารที่ต้องเตรียมหากใช้บริการบัตรผ่านแดนชั่วคราว
-.สำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรข้าราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง จำนวน 1 ใบ
-เด็ก ใช้สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้าน
-รูปถ่ายขนาด 1 หรือ 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ

*** สามารถยื่นขอหนังสืออนุญาตรถระหว่างประเทศและขอรับการแปลใบอนุญาตขับรถเป็นภาษาอังกฤษ ได้ที่ สำนักงานขนส่งจังหวัดหนองคาย ต.หนองกอมเกาะ อ.เมือง จ.หนองคาย โทร. 0-4242-1473

 

*** หมายเหตุ
1.การนำรถเข้าไปใน สปป.ลาวนั้น จะอยู่ในประเทศลาวไม่เกินกำหนดที่พนักงานเจ้าหน้าที่อนุญาต
2.การเดินทางข้ามพรมแดนจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการตรวจคนเข้าเมืองและกฎหมายศุลกากร
3.การนำรถเข้าไปยัง ลาว จะต้องทำกรมธรรม์ประกันภัยบุคคลที่สาม (ของลาว)

ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

กองกำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย โทร.0-4242-0242
จุดตรวจสะพานมิตรภาพไทย – ลาว ขาเข้า โทร. 0-4242-0243
จุดตรวจสะพานมิตรภาพไทย – ลาว ขาออก โทร. 0-4242-0244
จุดตรวจท่าเสด็จ โทร. 0-4241-1154
หมวดงานบริการ โทร. 0-4241-2089

 

การเดินทาง

• เครื่องบิน

จากกรุงเทพมหานครมีสายการบิน ลาวแอร์ และบางกอกแอร์เวย์บินตรงสู่สนามบินวัดไต เวียงจันทร์

หรือเลือกนั่งเครื่องบินสู่อุดรธานี แล้วต่อรถโดยสารปรับอากาศผ่านสะพานไทย-ลาว เข้าไปยังเมือง เวียงจันทน์ ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง

• รถบัสโดยสาร

จากกรุงเทพมหานครไปเวียงจันทน์ สามารถเดินทางโดยรถทัวร์ไปลงได้หลายจังหวัดดังนี้ หนองคาย อุดร หรือขอนแก่น จากนั้นต่อรถไปยังเวียงจันทน์

ขั้นตอนการจัดทำเอกสารเพื่อนำรถออกนอกราชอาณาจักรเพื่อการท่องเที่ยว

• ขับรถส่วนตัวเที่ยวลาว

1. พาสปอร์ตรถ (เล่มสีม่วงดังตัวอย่าง) ซึ่งสามารถขอทำได้ที่ แผนกทะเบียนฯ กรมการขนส่งจังหวัดทุกจังหวัด

กรุงเทพ–หน้าสวนจตุจักร ราคาเล่มละ 50 บาท การต่ออายุจะเป็นแบบปีต่อปี ค่าต่ออายุเล่มละ 25 บาท

 

2. ใบขับขี่แบบใหม่ บัตรแข็ง Smart Card ซึ่งสามารถใช้เป็นใบขับขี่ได้ตามปกติ

และยังใช้ขับขี่ระหว่างประเทศในอาเซียน 10 ประเทศได้อีกด้วย ขั้นตอนการขอก็ไม่ยาก

คุณสามารถนำใบอนุญาตขับขี่เดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไปยื่นความจำนงขอเปลี่ยนเป็นบัตรแบบแข็ง

 

3. ใบขับขี่สากล (คนละอันกับใบขับขี่แบบใหม่นะครับอย่าสับสน)

การทำใบขับขี่สากลนั้นสามารถยื่นเรื่องติดต่อได้ที่กรมการขนส่งทางบกจังหวัดเช่นเดียวกันและใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง ก็ได้รับเล่มเรียบร้อย ราคาค่าธรรมเนียม 505 บาท ต่ออายุปีต่อปี เช่นเดียวกับพาสปอร์ตรถ

 

4. ป้ายทะเบียนรถระหว่างประเทศ อันนี้ก็เป็นระเบียบใหม่ที่เพิ่งออกมาเช่นเดียวกับใบขับขี่แบบ Smart  Card

เพื่อใช้สำหรับรถที่เดินทางออกจากประเทศเพื่อจะไปยังประเทศ ลาว เวียดนาม กัมพูชา

การยื่นขอป้ายทะเบียนระหว่างประเทศนั้นสามารถยื่นเรื่องขอทำได้ที่แผนกทะเบียนฯ

 

5. ใบขนส่งสินค้าพิเศษ เมื่อมาถึงด่าน ตม. สะพานมิตรภาพไทย – ลาว คุณต้องมากรอกเอกสารที่เค้าเรียกว่า ใบขนส่งสินค้าพิเศษ (เป็นชื่อแบบฟอร์มของ ตม.) และ ใบรายละเอียดของพาหนะ

ซึ่งขั้นตอนนี้คุณก็กรอกลงไปเกี่ยวกับข้อมูลของคุณ+จำนวนผู้ติดตามในรถ

และรายละเอียดของรถที่คุณจะนำออกนอกประเทศ จากนั้นต้องเก็บไว้ให้ดี เพราะ ด่าน ตม. จะเอาคืนเวลาคุณกลับเข้าประเทศ (ป้องกันการขโมยรถออกนอกประเทศเช่นเดียวกัน) เมื่อเสร็จขั้นตอนต่างๆ แล้วเจ้าหน้าประทับตราขาออกก็เท่ากับว่าขั้นตอนทางฝั่งไทยเรียบร้อย

 ** ขั้นตอนที่ว่าทั้งหมดนี้ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น

6. ตัวอย่างใบรายละเอียดของยานพาหนะ หน้าตาประมาณนี้ เมื่อเอกสาร 2 ตัวนี้เรียบร้อยก็ออกรถข้ามสะพานได้เลย

จากนั้นเมื่อมาถึงด่าน ตม.ของลาว คุณจะต้องทำเอกสาร 2 ส่วนคือ

 

7. ใบติดตามพาหนะเข้าชั่วคราว 

 8. ประกันภัย ซึ่งคุณสามารถกรอกเป็นภาษาไทยได้ส่วน หัวด้านซ้ายตัดเพื่อติดหน้ากระจกรถคุณ

9. ตัวอย่างใบค่าธรรมเนียมภาษีติดตามพาหนะชั่วคราว (ฝั่งลาว)

10. ตัวอย่างใบประกันภัยของบริษัทประกันภัยลาว

11. ตัวอย่างใบค่าธรรมเนียมนำพาหนะผ่านด่านเข้าเมือง (ฝั่งลาว)

 

สรุปค่าใช้จ่าย

– ฝั่งไทย ไม่เสียค่าธรรมเนียมใดๆทั้งสิ้น

– ฝั่งลาว ค่าธรรมเนียมประกันภัยรถคุณ ราคาแตกต่างกันแล้วแต่จำนวนวันที่คุณมา

(ในตัวอย่าง 7 วัน) ประมาณ 60000 กีบ (240 บาทโดยประมาณ)

ค่าธรรมเนียม (รถ+คน) ผ่านด่านเข้าเมือง คนละ 200 บาท

(อันนี้คิดผู้ติดตามในรถทุกคน ยกเว้นคนขับไม่เสีย) เช่น พ่อ-แม่-ลูก พ่อคนขับไม่เสีย แม่-ลูก รวม 2 คน 400 บาทเป็นต้น

ค่าธรรมเนียมที่ใช้พาสปอร์ตในการเข้าเมืองอีก คนละ 10 บาท

เพียงเท่านี้ก็ไม่ยากเกินไปใช้ไหมครับสำหรับการนำรถเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเพื่อนบ้าน

ขอให้ทุกคนท่องเที่ยวอย่างมีความสุขครับ ที่สำคัญเมาไม่ขับนะครับเพราะที่ประเทศสปป.ลาว

เดี๋ยวนี้เค้าก็มีการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์แล้วเช่นเดียวกัน

 

แหล่งข้อมูลจากเว็บ 

http://travel.mthai.com

http://louangprabang.net

 

เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com