เรื่องทั้งหมดโดย admin

“หนองทะเล จ.กระบี่” สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่สำหรับผู้ชื่นชอบการถ่ายภาพ

 

1409206415-1-o

 

สถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ประจำจังหวัดกระบี่  ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่ผู้ที่ชื่นชอบและรักการถ่ายภาพ แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไรนักสำหรับนักท่องเที่ยวทั่วไป หนองทะเล เป็นบึงน้ำจืดขนาดใหญ่กึ่งธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากชายหาดชื่อดังของจังหวัดกระบี่ ซึ่งหนองทะเลแห่งนี้มีทัศนียภาพที่สวยงามมากๆ โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากบึงหรือหนองน้ำแห่งนี้มีฉากหลังเป็นภูเขาหินปูนสูงใหญ่สลับเรียงรายล้อมรอบ และมีรูปร่างที่สะท้อนถึงเอกลักษณ์ของจังหวัดกระบี่อีกด้วย บ่อยครั้งที่จะสามารถมองเห็นหมอกจางๆ คลอเคลียอยู่บนยอดเขาในยามเช้า และเมื่อพระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีเหลืองทองจากทางด้านหลังแนวเทิกเขาก็จะมีไอหมอกบางๆ ค่อยๆ ลอยจากผิวน้ำคล้ายกับบรรยากาศของแหล่งท่องเที่ยวในภาคเหนือ นอกจากนี้ยังสามารถพบกับฝูงเป็ดและเหล่าบรรดาหมู่นกที่ออกหากินในช่วงเช้าที่ช่วยเพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับหนองทะเลแห่งนี้ได้ดีทีเดียว

 

1409226378-27-o

1409206549-2-o

1409206791-3-o

1409207061-6-o

1409207786-16-o

 

ส่วนเส้นทางการเดินทางนั้น ทางเข้าหนองทะเลจะอยู่เยื้องๆ กับเส้นทางที่จะเข้าหาดคลองม่วง จากนั้นใช้เส้นทางเล็กประมาณ 200 – 300 เมตรก็จะพบกับแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ เนื่องจากสถานที่หนองทะเลยังไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ จึงไม่มีป้ายบอกทางที่ชัดเจนและแน่นอนเท่าไรนัก แต่สถานที่แห่งนี้เริ่มได้รับความสนใจมากสำหรับผู้ที่รักการถ่ายภาพเป็นพิเศษ ถ้าใครสนใจอยากชื่นชมความงดงามของหนองทะเล จ.กระบี่ ต้องมาสัมผัสกันให้ได้ด้วยตนเองว่า หนองทะเลสวยงดงามดั่งภาพถ่ายหรือไม่

 

1409207381-10-o

1409207885-18-o

1409206912-4-o

1409207923-19-o

1409207498-11-o

1409207594-12-o

1409207665-14-o 

1409207177-7-o

1409207721-15-o

1409207275-8-o

1409207829-17-o

1409208184-26-o

1409208079-21-o

1409208042-20-o 

1409208121-22-o

1409208214-28-o

1409208158-23-o

1409207324-9-o

 

เรียบเรียงโดย : www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : Wichean Ruanngam/Wi Krabi/Painter หรือ The Painter 

Unseen พุทธสถานท่ามกลางผืนป่าธรรมชาติ วัดป่าภูก้อน จังหวัดอุดรธานี

 

20131128_3_1385613737_126797

pugon1

 

วัดป่าภูก้อน ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่านายูง และป่าน้ำโสม บ้านนาคำใหญ่ ตำบลบ้านก้อง ซึ่งเป็นรอยต่อคราบเกี่ยว 3 จังหวัด คือ จังหวัดอุดรธานี จังหวัดเลย และจังหวัดหนองคาย บนพื้นที่กว่า 3,000 ไร่ วัดป่าภูก้อนถือได้ว่าเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่มีความเป็นอันซีนที่ยังไม่ปรากฏต่อสายตานักท่องเที่ยวเท่าไรนัก

 

วัดป่าภูก้อน เกิดขึ้นจากพุทธบริษัทที่ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของธรรมชาติและป่าต้นน้ำลำธาร ที่กำลังถูกทำลายลง และเพื่อเป็นการตามรอยพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าต้นน้ำลำธาร สัตว์ป่า และพรรณไม้นานาพันธุ์ ให้เป็นมรดกของแผ่นดินไทยและอยู่คู่กับลูกหลานไทย

 

10357526_310375855787211_8919383098175083239_n

 

รอบผนังภายในวิหารถูกตกแต่งอย่างสวยสดงดงามด้วยภาพพุทธประวัติและภาพทศชาติ ซึ่งตกแต่งเป็นภาพปั้นนูนต่ำหล่อด้วยทองแดงจำนวน 22 ช่อง เป็นภาพของพระพุทธเจ้าในองค์ชาติต่างๆ 10 ชาติด้วยกัน เป็นการสื่อความหมายถึงการสั่งสมบารมีด้วยความพากเพียร และความเสียสละของพระองค์ในทุกๆ ชาติ โดยที่ด้านบนของทุกๆ ภาพจะมีการแกะสลักบทสวดอิติปิโสไว้ช่องละท่อนด้วยสีเขียวเข้มบนหินอ่อนขาว ซึ่งถือได้ว่าเป็นผนังวิหารที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ไม่ซ้ำใคร

 

20131128_3_1385613645_670382

20131128_3_1385613345_820838

 

พระวิหารที่สะดุดตาของวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ ได้รับการออกแบบจากวิศวกรรมโครงสร้าง องค์พระพุทธรูปหินอ่อน พระวิหาร ศาลาราย และอาคารรอบลานเขา โดยที่พระวิหารมีลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยประยุกต์สมัยรัตนโกสินทร์ มีประตูทางเข้า – ออกวิหาร 3 ด้าน ส่วนภายในตกแต่งได้อย่างวิจิตรตระการตา รวมไปถึงแฝงด้วยเรื่องราวคำสอนของพระพุทธเจ้า

 

ภายในพระวิหารแห่งนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนี ขนาดความยาว 20 เมตร ถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนขาวจากเมืองคาร์ราร่า ประเทศอิตาลี ซึ่งถือได้ว่าเป็นหินอ่อนขาวที่มีความสวยงดงามและทนทานมากที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสร้างนานถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 – 2555 ซึ่งคณะพุทธบริษัทวัดป่าภูก้อนได้ร่วมใจกันสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลพิเศษ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลมหาราช ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา เมื่อปี พ.ศ. 2554 ออกแบบและแกะสลักองค์พระพุทธไสยาสน์โดย อาจารย์นริศ รัตนวิมล ยอดศิลปินประติมากรหินของไทย

 

pugon3

20131128_3_1385613584_424846

 

นอกเหนือจากพระวิหารและพระพุทธไสยาสน์โลกนาถศาสดามหามุนีที่เป็นจุดเด่นแล้ว ยังมีพระปฐมรัตนบูรพาจารย์มหาเจดีย์ ที่อยู่บริเวณเดียวกันถัดลงมาทางด้านล่างก็มีความน่าสนใจไม้แพ้กัน เพราะเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และรูปปั้นหินอ่อนของเหล่าเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งมีศิษยานุศิษย์อยู่มากมาย โดยที่นักท่องเที่ยวจะต้องเดินทางขึ้นบันไดที่ทอดยาวเพื่อเข้าไปยังเจดีย์และสักการะบูชา แม้จะถูกสร้างขึ้นได้ไม่นานนักแต่ที่นี่ก็ถูกยกให้เป็นศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวภาคอีสานอีกแห่งหนึ่ง

 

20131128_3_1385613720_25484

20131128_3_1385613685_465508

NK319-1009x1024

 

ส่วนเส้นทางการเดินทางไปยังวัดป่าภูก้อนนั้น เมื่อมาถึงจงหวัดอุดรธานี แล้วให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2 (อุดรธานี – หนองคาย) ขับมาเรื่อยๆ จนถึงกิโลเมตรที่ 13 จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 2021 (อุดรธานี – บ้านผือ) และขับต่อไปก็จะพบกับบ้านนาคำใหญ่ จะมีทางเลี้ยวเข้าวัดป่าภูก้อน รวมแล้วระยะทางจากตัวเมืองอุดรธานีถึงวัดป่าภูก้อนประมาณ 125 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ก็จะได้พบกับ Unseen พุทธสถานท่ามกลางผืนป่าธรรมชาติที่สวยงดงามแห่งนี้

 

map

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา ครั้งที่ 11 ประจำปี 2558

 

2

eb39

 

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก ขอเชิญร่วมงาน “เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา” ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2558 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2558 ณ บริเวณอุทยานแห่งชาติปางสีดา อำเภอเมืองสระแก้ว จังหวัดสระแก้ว

 

4

 

สำหรับการจัดงาน “เทศกาลดูผีเสื้อที่ปางสีดา” ครั้งที่ 11 นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสระแก้ว รวมทั้งกระจายรายได้ให้กับชุมชนและท้องถิ่น ซึ่งอุทยานแห่งชาติปางสีดาถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกที่มีผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์และธรรมชาติที่สวยงดงามจนเป็นที่ยอมรับแก่นักท่องเที่ยว รวมไปถึงยังได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองผีเสื้อแห่งผืนป่าตะวันออก” จากองค์การยูเนสโก ภายใต้ชื่อ “ดงพญาเย็น – เขาใหญ่” อีกด้วย

 

ภายในงานมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิเช่น กิจกรรมชมผีเสื้อหลากหลายสายพันธุ์ที่มีจำนวนมากกว่า 400 ชนิด, ชมขบวนหุ่นผีเสื้อจากแต่ละตำบลที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม, ชมนิทรรศการผีเสื้อและศึกษาเทคนิคการดูผีเสื้อจากเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติปางสีดาที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ, กิจกรรมแคมป์ปิ้ง นอนเต็นท์เล่นน้ำตกปางสีดา และกิจกรรมเดินป่าเพื่อศึกษาธรรมชาติและถ่ายภาพแห่งความทรงจำ ณ จุดชมวิว และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

 

pangsida2 (1)

6

 

ส่วนสถานที่ดูผีเสื้อนั้น นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นผีเสื้อได้ทั่วไปรอบอุทยานแห่งชาติปางสีดา แต่ที่สะดวกสบายในการดูนั้น ขอแนะนำดังต่อไปนี้

  • ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นได้ตั้งแต่บริเวณลานกางเต็นท์ ซึ่งจะพบผีเสื้อวงศ์บินเร็วตั้งแต่ช่วงเช้า ส่วนในฤดูฝนจะพบผีเสื้อสกุลบารอนหลากหลายชนิดบินมากินผลไม้สุกที่ใต้ต้นมะม่วง และในช่วงเดือนเมษายนยังสามารถพบกับดักแด้ผีเสื้อหนอนคูนจำนวนมากนับหมื่นๆ ในบริเวณรอบๆ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
  • น้ำตกปางสีดา เริ่มต้นตั้งแต่ลานจอดรถ หากฉีดน้ำทิ้งไว้สักพักก็จะสามารถพบเห็นผีเสื้อบินลงมากินเกลือแร่ และตลอดการเดินไปยังน้ำตกก็สามารถพบกับผีเสื้อนานาชนิดได้ โดยเฉพาะผีเสื้อหางติ่ง และผีเสื้อหนอนกระหล่ำ
  • น้ำตกลานหินดาด เริ่มต้นจากกิโลเมตรที่ 6 ด้วยการเดินผ่านทุ่งกระทิง ซึ่งตลอดสองข้างทางจะสามารถพบกับผีเสื้อสกุลผีเสื้อป่านานาชนิดที่หลากหลายบินไปมา และที่ปลายทางนอกจากจะพบกับน้ำตกที่สวยงดงามแล้ว ยังสามารถพบกับกล้วยไม้นานาพันธุ์ได้อีกด้วย
  • แหล่งน้ำซับ เริ่มต้นจากจุดชมวิว กิโลเมตรที่ 25 หากเดินไปเรื่อยๆ ประมาณหนึ่งกิโลเมตรเศษๆ ก็จะพบกับแหล่งน้ำซับที่อยู่กลางถนน ซึ่งบริเวณตรงนี้จะสามารถพบเห็นผีเสื้อนานาชนิดจะพากันมากินโป่ง และตลอดสองข้างทางก็จะเต็มไปด้วยผีเสื้อวงศ์ที่บินเร็วขึ้น
  • ห้วยน้ำเย็น เป็นที่ตั้งของหน่วย ปด. 5 ซึ่งอากาศที่เย็นสบาย หากเดินไปตามลำห้วยก็จะพบกับผีเสื้อที่หาดูและพบเห็นได้ยากหลากหลายชนิด อาทิเช่น ผีเสื้อลายซิกแซก ฟ้าเฟลเดอร์ ตาแมวม้วง เป็นต้น

 

5

pangsida2

 

สำหรับการแต่งกายไปดูผีเสื้อนั้น ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ ไม่ควรเน้นเสื้อผ้าสีฉูดฉาดมากจนเกินไป และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การดูผีเสื้อคือ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากผีเสื้อชอบแสงแดด และเมื่อหมดแสงแดดผีเสื้อก็จะหายไป ทั้งนี้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ อุทยานแห่งชาติปางสีดา

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

บรรยากาศสุดชิล ณ ไร่บุญรอด จังหวัดเชียงราย

 

1361414387-untitled13-o

1370593983-ae1417-o

13

1370619006-ab8521-o

ae-0362

31

 

ภาพของไร่ชากว้างไกลสุดสายตา พืชผลไม้นานาพรรณ ที่ถูกแวดล้อมไปด้วยขุนเขา ดอกไม้ และสายหมอกจางๆ เป็นภาพที่หาได้ไม่ยากเมื่อคุณได้มาเยือน “ไร่บุญรอด” ที่เป็นอีกหนึ่งสถานที่แห่งใหม่ของจังหวัดเชียงรายที่ต้องไปสัมผัสให้ได้ วันนี้จึงขอแนะนำให้ลองไปเยือน “ไร่บุญรอด เชียงราย” กันดูนะคะ แต่ถ้าใครยังไม่มีเวลาได้ไปสัมผัสกับสถานที่จริงนั้น แนะนำให้ลองมาศึกษาข้อมูลเบื้องต้นกันก่อนนะจ๊ะ เผื่อเมื่อได้ศึกษาข้อมูลจบแล้วจะรีบเปลี่ยนใจแพ็คกระเป๋าไปในทันทีค่ะ

 

45

47

814740-topic-ix-94

 

ไร่บุญรอด เปิดบริการนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี พ.ศ.2554 ก่อนที่จะมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น สิงห์ ปาร์ค เชียงราย (Singha Park Chiangrai) ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายเด่นห้า – ดงมะดะ ห่างจากเขตชุมชนเมืองเรียงราย ประมาณ 9 กิโลเมตร เลขที่ 99 หมู่ที่ 1 บ้านแม่กรณ์ ตำบลแม่กรณ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย สภาพพื้นที่โดยทั่วๆ ไปเป็นที่ลาดเนินเขา มีภูเขาเล็กๆ และในช่วงฤดูหนาวอากาศค่อนข้างเย็นสบาย เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมากสำหรับท่านที่ชื่นชอบอากาศหนาวเย็น

 

และด้วยพื้นที่ที่กว้างขว้าง ทำให้วิธีการชมไร่บุญรอดมีด้วยกัน 2 วิธี คือ นั่งรถชมทัศนียภาพโดยรอบด้วยไกด์ที่เชี่ยวชาญคอยอธิบายรายละเอียดต่างๆ ให้ฟังอย่างเพลิดเพลิน หรือวิธีที่สอง การปั่นจักรยานชมวิว ที่มีไว้บริการหลายคัน ซึ่งถือว่าเป็นการออกกำลังไปอีกทางหนึ่งด้วย

 

1370592334-ae2-o

39

1370592901-ae26-o

DSC_0176

 

ส่วนภายในไร่บุญรอดนั้นมีการเพาะปลูกพื้นที่หลากหลายชนิด แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็คือ ไร่ชาอู่หลงสายพันธุ์จินซวน (Jin Xuan) หรือชาอู่หลง เบอร์ 12 เป็นชาสายพันธุ์ไต้หวัน ที่ปลูกบนพื้นที่กว่า 600 ไร่ กว้างขว้างลดหลั่นกันลงมาอย่างสวยงาม

 

29

35

 

เมื่อนักท่องเที่ยวได้เดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศของไร่บุญรอดแล้วนั้น ท่านต้องได้พบพระเอกของไร่ที่สำคัญนั้นก็คือ พุทราพันธุ์ซื่อหมี่ ที่ทอดยาวกว่า 100 ไร่ โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน พุทราพันธุ์ซื่อหมี่จะออกผลให้ได้ลิ้มลองชิมกัน ส่วนมะเพืองยักษ์หวานนับร้อยต้นในช่วงเดือนธันวาคม – เดือนมกราคมของทุกปี ก็พร้อมใจกันออกผลสีเหลืองให้ได้ชิมรสหวานๆ กันอย่างทั่วหน้า และอีกหนึ่งสิ่งที่พลาดไม่ได้สำหรับช่วงฤดูหนาวนั้นก็คือ สตอเบอร์รี่ ซึ่งที่ไร่บุญรอดแห่งนี้จะปลูกสตอเบอร์รี่ในพื้นที่ 4 ไร่ สายพันธุ์พระราชทาน 80 ที่เกษตรกรรมผสมผสานเอง และเมื่อหมดช่วงฤดูกาลก็จะปลูกแคนตาลูปและมะเขือเทศพันธุ์เลื้อยแทน โดยที่สตอเบอร์รี่จะให้ผลผลิตในช่วงเดือนมกราคม – เดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีเท่านั้น

 

33

34

17

 

นอกจากนี้แล้ว ไร่บุญรอดยังมีการปลูกต้นยางพารากว่า 2,700 ไร่อีกด้วย รวมไปถึงปลูกราสเบอร์รี เมลอน มัลเบอร์รี และพืชผักผลไม้เมืองหนาวอีกมากมายหลากหลายชนิด และอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนไร่บุญรอด นั่นก็คือ การชื่นชมและสัมผัสดอกไม้สวยๆ ที่จะเบ่งบานชูช่อรอต้อนรับนักท่องเที่ยวในช่วงเดือนธันวาคม ไม่ว่าจะเป็นทุ่งปอเทืองที่เหลืองอร่าม, ซัลเวียสีแดงเด่น, แววมยุรา, ข้าวญี่ปุ่น, พิงค์มอส, ดอกคอสมอส และดอกไม้นานาชนิดที่ปกคลุมเนินเขาที่เมื่อได้มองแล้วจะรู้สึกสบายตา พร้อมปิดท้ายด้วยการชมพระอาทิตย์ตกดินที่ค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าไปช่างเป็นอะไรที่แสนจะโรแมนติกสุดๆ

 

27

DSC-600x398

 

เมื่อได้เที่ยวชมไร่บุญรอดจนหมดแรงกันแล้ว ก็อย่าลืมแวะเติมพลังกันที่ร้านอาหาร “ภูภิรมย์” กันด้วยนะคะ ซึ่งมีอาหารอร่อยๆ หลากหลายเมนูรอบริการลูกค้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารไทย อาหารเหนือ อาหารฝรั่ง หรือแม้กระทั่งเมนูอาหารแปลกๆ ให้ได้ลิ้มลองกัน โดยที่ให้แต่ละเมนูจะถูกคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นอย่างดี และที่สำคัญยังให้ผลผลิตที่ปลอดสารพิษจากในไร่อีกด้วย อาทิเช่น ไก่ย่างภูภิรมย์ ยำทูน่าใบชาสด ยำใบชาทอดกรอบ เป็นต้น นอกจากนี้แล้วยังสามารถชมทัศนีย์ภาพของไร่บุญรอดแบบ 360 องศา พร้อมจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ได้อีกด้วย

 

21

20 (1)

23

 

หรือหากใครอยากซื้อของฝากติดไม้ติดมือนั้น ทางไร่บุญรอดก็มีผลิตภัณฑ์มากมายจากทางไร่จำหน่ายอยู่ ณ ร้ายขายของที่ระลึก ทั้งน้ำมัลเบอร์รี, น้ำเสาวรส, แยมผลไม้, มะม่วงอบแห้ง, มะเฟืองอบแห้ง, ชาอู้หลง, เห็ดหอมดองซีอิ้ว และอื่นๆ อีกมากมาย

และทั้งหมดนี้คือความงดงาม ที่คุณจะได้รับหากได้มาเยือนที่ สิงห์ ปาร์ค เชียงราย หรือ ไร่บุญรอด แห่งนี้ เพราะนอกจากจะได้ซึมซับกับอากาศที่แสนบริสุทธิ์ให้ชุ่มฉ่ำปอดแล้ว ยังสามารถตื่นตาตื่นใจไปกับกิจกรรมต่างๆ มากมายรอบริการนักท่องเที่ยวอยู่

 

14

831c0a5bf18670b2eeb8a19d774286c2

10926367_326146047591323_6917186783058896156_n

10897953_325426340996627_5399952133486121149_n

1370616296-ae0486-o

1370592882-ae3-o

  1370592420-ae-o

 ae-8576

304414_131630386986710_1575780634_n

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

มนต์เสน่ห์ธรรมชาติที่หลากหลายของจังหวัดจันทบุรี

 

“จันทบุรี” หรือเรียกสั้นๆ ว่า “เมืองจันท์” เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกของประเทศไทย ซึ่งหลายท่านอาจจะคุ้นหูในฐานะเมืองเก่าที่มีสำคัญทางประวัติศาสตร์ไทย จึงทำให้พื้นที่จังหวัดจันทบุรีเต็มไปด้วยเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่หลากหลายที่รอให้นักท่องเที่ยวไปค้นหา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความหลากหลายทางธรรมชาติในพื้นที่ติดทะเล และธรรมชาติที่เป็นผืนป่า เขา จึงทำให้จังหวัดจันทบุรีเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งยังมีพื้นที่ที่มีความสมดุลของดินฟ้าอากาศที่เหมาะแก่การปลูกผลไม้ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชื่อเสียงและยังเป็นการสร้างรายได้ให้กับชาวจังหวัดจันทบุรีอีกด้วย ดังนั้นจึงได้รวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรีมาฝากกันค่ะ

 

01

02

 

โอเอซิส ซีเวิลด์

โอเอซิส ซีเวิลด์ ตั้งอยู่ตำบลปากน้ำ อำเภอแหลมสิงห์ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 25 กิโลเมตร เป็นสถานที่เพาะพันธุ์และอนุรักษ์ปลาโลมาที่อาศัยอยู่ในน่านน้ำจังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีอยู่ 2 พันธุ์ คือ พันธุ์หัวบาตร และพันธุ์ปากขวด โดยที่ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับวงจรชีวิตของปลาโลมา การเพาะเลี้ยงโลมา รวมทั้งมีการแสดงของปลาโลมาแสนรู้ให้ชมทุกวัน วันละ 5 รอบ รวมทั้งเปิดบริการรอบเพื่อเล่นน้ำกับปลาโลมาอีกด้วย นอกจากนี้แล้วยังมีสวนสมุนไพรให้ได้ศึกษาหาความรู้กันอีกด้วย อาทิเช่น จำเรียง อบเชย โด่ไม่รู้ล้ม เป็นต้น หรือยังเป็นสถานที่จัดค่ายพักแรมที่พักไว้บริการกับนักเรียนและเยาวชนทั่วไปอีกด้วย

 

03

 

ตึกแดง

ตึกแดง ตั้งอยู่ตำบลปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ บริเวณท่าเรือแหลมสิงห์ ใกล้กับคุกขี้ไก่ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองจันทุบรีประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งตึกแดงแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ปี พ.ศ. 2436 เดิมเป็นที่ตั้งของป้อมพิฆาตปัจจามิตร ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองจันทบุรีก็ได้รื้อป้อมแห่งนี้ลง และสร้างตึกแดงขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่พักและเป็นกองบัญชาการทหารฝรั่งเศสเป็นตึกชั้นเดียว สีแดง หลังคามุงด้วยกระเบื้อง และเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันในเวลา 08.30 – 16.30 น.

 

06

04

09

 

เที่ยวชมย่านท่าหลวงเก่าริมน้ำ

ย่านท่าหลวงตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี ถนนท่าหลวง ตำบลท่าช้าง อำเภอเมือง เป็นย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองจันทบุรี เป็นชุมชนที่เก่าแก่ของจีนและญวนมาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์ และรุ่งเรืองมากในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวชมบรรยากาศย้อนยุคได้อย่างสบายๆ ด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีลักษณะเป็นแถวที่ถูกสร้างตามแบบโคโลเนียล ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมลูกครึ่งฝรั่งผสมผสานกับจีน โดยที่มีลักษณะเป็นอาคารเรียงโค้งกันเป็นแถว และถูกประดับชายคาด้วยเป็นไม้แกะฉลุลวดลายโปร่งตา

ส่วนสภาพร้านค้านั้นยังถูกคงสภาพไว้แบบดั้งเดิม เช่น ร้านขายยาจีนแผนโบราณ, ร้านตัดผมเรือนไม้, บ้านหลวงราชไมตรี ผู้ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งยางพาราภาคตะวันออก” คหบดีแห่งย่านท่าหลวง ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการค้ายางพาราในจังหวัดนี้ ตัวบ้านสร้างแบบโคโลเนียล และเคยเป็นสถานที่ถ่ายทำหนัง “โหมโรง” และละคร “อยู่กับก๋ง” ทั้งนี้หากได้ไปสัมผัสย่านท่าหลวงแนะนำให้แวะร้านไอศกรีม “จรวด” ซึ่งเป็นร้านที่อร่อยที่สุด และเป็นโรงงานแห่งแรกของจังหวัดที่ใช้เครื่องจักรในการผลิตไอศกรีมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 เป็นต้นมา ที่ยังคงบรรยากาศเก่าแก่ของตัวอาคารแบบโคโลเนียลไว้ และแนะนำให้แวะร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ที่มีชื่อร้านว่า “ทำสี” ที่ขายดีมากๆ มีสินค้าจำหน่ายมากมายหลากหลายความต้องการ อาทิเช่น เสื้อยืด โปสการ์ด แม่เหล็กติดตู้เย็น และของใช้จุกจิกมากมายที่รอนักท่องเที่ยวซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกัน

 

10

11

 

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ

อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฎ เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของแม่น้ำจันทบุรี เนื่องด้วยสภาพป่าในบริเวณนี้มีความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์รวมไปถึงพันธุ์ไม้หายากจำนวนมาก จึงทำให้เป็นสถานที่ที่ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ อาทิเช่น น้ำตกกระทิง เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ทั้งหมด 13 ชั้น มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาคิชฌกูฎ หรือ ยอดเขาพระบาท ที่ประดิษฐานอยู่บนยอดเขาคิชกูฎ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาที่ถูกนำผูกกับทางพระพุทธศาสนา และนอกจากนี้ยังสามารถชื่นชมกับทิวทัศน์ของเทือกเขาสระบาป, เขาสุกิม, เกาะนมสาว, และตัวเมืองจันทบุรีได้อีกด้วย

 

12

13

 

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว

อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีเนื้อที่ 84,063 ไร่ ตั้งอยู่อำเภอแหลมสิงห์ บนเทือกเขาสระบาป โดยที่มาของชื่อน้ำตกคือ คำว่า “พลิ้ว” กล่าวกันว่าเป็นภาษาชอง ซึ่งเป็นเจ้าของถิ่นเดิมที่แปลว่า ทราย หรือ หาดทราย แต่เข้าใจกันว่าน้ำตกพลิ้วคงจะได้ชื่อมาจากต้นไม้ชนิดหนึ่ง ที่ชอบขึ้นในดินปนทราย มีลักษณะเป็นไม้เถามีดอกเป็นผลเล็กขนาดลูกเกด สีเหลืองอมแดง สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในแถบนี้ สำหรับน้ำตกพลิ้วแห่งนี้เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำตลอดทั้งปี และยังเป็นน้ำที่ใสสามารถมองเห็นพื้นด้านล่างได้อีกด้วย รวมไปถึงยังสามารถชื่นชมกับพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ และสัตว์ป่านานาชนิดได้อีก

 

14

15

16

 

หาดเจ้าหลาว

หาดเจ้าหลาว ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของอ่าวคุ้งกระเบน ตำบลคลองขุด อำเภอท่าใหม่ และอยู่ก่อนถึงตัวเมืองจันทบุรี 60 กิโลเมตร หาดเจ้าหลาวแห่งนี้เป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจังหวัดจันทบุรี เนื่องจากมีชายหาดที่สวยงดงาม มีบรรยากาศที่เงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วยทิวของต้นมะพร้าว ส่วนหาดทรายนั้นจะมีเนื้อละเอียดสีแดง ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของหาดทรายเมืองจันทบุรี รวมทั้งหาดทรายแห่งนี้ยังทอดยาวไปจนถึงเขตห้ามล่าสัตว์คุ้งกระเบนอีกด้วย และนอกจากนี้ยังมีกิจกรรมให้เลือกทำมากมาย เช่น เล่นน้ำทะเล, เล่นบานาน่าโบ๊ท, ดำน้ำตื้นดูปะการัง ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งเพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น

 

18

17

 

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นสถานที่สำคัญสำหรับศึกษาค้นคว้าและวิจัย เพื่อเป็นแนวทางด้านการพัฒนาที่เหมาะสมต่อพื้นที่ชายฝั่งจังหวัดจันทบุรีโครงการหนึ่งที่ศูนย์ทำขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่มีความสนใจเข้ามาศึกษาสภาพธรรมชาติ ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจในระบบนิเวศป่าชายเลน และรู้จักการใช้ทรัพยากรเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด  คือ สะพานเดินศึกษาธรรมชาติป่าชายเลนอ่าวคุ้งกระเบน ตั้งอยู่ตรงข้ามศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริโดยจะใช้เวลาเพียง 30 – 45 นาที บนเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะมีจุดสื่อความหมายธรรมชาติอยู่ตามบริเวณต่างๆ เป็นแหล่งอาหารธรรมชาติตลอดจนแหล่งสมุนไพรสำหรับชุมชนที่อาศัยอยู่โดยรอบอีกด้วย

 

19

20

21

 

อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี  

อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล จันทบุรี  ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนสตรีพิทักษ์ ตำบลจันทนิมิต อำเภอเมือง ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2254  บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจันทบุรี โดยคุณพ่อเฮิ๊ต โตแลนติโน และบรรดาทอลิกชาวญวน จนถึงเมื่อปี พ.ศ. 2377 ได้ย้ายมาสร้างบนฝั่งด้านตะวันนออกของแม่น้ำจันทบุรีอันเป็นสถานที่ตั้งในปัจจุบันนี้ ซึ่งนับได้ว่าเป็นโบสถ์คาทอลิกขนาดใหญ่ที่มีความเก่าแก่ และถูกกล่าวขานกันว่ามีความสวยงดงามที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย ด้วยความงามของสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค และภายในตกแต่งด้วยลวดลายฉลุ กระจกสเตนกลาสหรือกระจกหลากสี และภาพนักบุญต่างๆ รวมไปถึงเป็นที่ประดิษฐานองค์พระนางมารีอาที่ถูกประดับด้วยพลอย 200,000 เม็ด ซึ่งมีหนึ่งเดียวในโลกอีกด้วย เปิดให้เข้าเยี่ยมชมวันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 08.30 – 12.00 น. และเวลา 13.00 – 16.30 น. ส่วนวันอาทิตย์ เวลา 10.00 – 16.30 น.

 

และทั้งหมดนี้คือ สถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดจันทบุรี ที่นำมาแนะนำให้ไปลองเที่ยวชมและสัมผัสเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้น และไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก สำหรับใครที่มีโอกาสได้ไปเที่ยวนั้นอย่าลืมแวะไปท่องเที่ยวตามสถานที่ที่ได้นำมาฝากด้วยนะคะ

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

Unseen Thailand ต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานี

 

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์1

 

เมื่อแสงสว่างจากท้องฟ้าเริ่มลาลับสู่พลบค่ำของแต่ละวัน บริเวณด้านหลังผนังของอุโบสถวัดเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลราชธานี สามารถพบกับเอกลักษณ์ที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนก็คือ ภาพเรืองแสงเรืองรองของประติมากรรมต้นกัลปพฤกษ์ที่ติดอยู่ผนังหลังโบสถ์ ซึ่งจะปรากฏแสงสีเขียวเรืองแสงเมื่อยามค่ำคืนเท่านั้นขึ้นมาอย่างน่ามหัศจรรย์ใจ ถือได้ว่าสวยงดงามแก่สายตาผู้พบเห็น จนกลายเป็นสถานที่สุดฮิตที่ Unseen Thailand ในปัจจุบันที่ชวนน่าค้นหา

 

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์2

SAN_8787-2

 

ซึ่งภาพของต้นไม้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับที่เคยเห็นในวัดเชียทองที่หลวงพระบาง ประเทศลาว แต่ศิลปินผู้สร้างผลงานชิ้นนี้ได้ใส่ไอเดียพิเศษลงไปในผลงานจนเกิดเป็นความงดงามที่ไม่ซ้ำใครดั่งที่ได้พบเห็น นอกจากนี้วัดสิรินธรวรารามภูพร้าว ยังเป็นสถานที่ชมพระอาทิตย์ตกอีกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงดงามมากอีกจุดหนึ่งของประเทศไทย รวมไปถึงยังเป็นสถานที่เหมาะสำหรับการดูดาว ซึ่งหากวันใดโชคดีจะได้พบกับฝูงช้างเผือกเชือกใหญ่ที่เปล่งประกายบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงบและร่มรื่น และเมื่อใดที่นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมเยือนจะต้องรู้สึกประทับใจกลับไปอย่างแน่นอน

 

1416797340-JOE0730-o

คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์3

คุณWatcharit Praihirun1

คุณWatcharit Praihirun2

 

ส่วนการเดินทางมายังวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว แห่งนี้นั้น เริ่มต้นจากตัวเมืองอุบลราชธานีให้ใช้เส้นทางเดียวกับทางที่ไปด่านช่องแม็ก ขับมาเรื่อยๆ จนเลยเขื่อนสิรินธร ซึ่งก่อนจะถึงตัวด่านประมาณ 3 กิโลเมตร จะพบกับทางแยกเล็กๆ จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายเข้าวัดได้เลย ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถพบกับ Unseen Thailand ศิลปกรรมต้นไม้เรืองแสง ประจำวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว จังหวัดอุบลราชธานีได้เลย

 

SAN_8780-3

1200_9491414390384

1416797248-JOE0651-o

1200_7751414390365

1200_6641414390401

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : คุณธีรพัฒน์ บุปผาพิบลูย์, คุณWatcharit Praihirun, Khunkay’s Gallery

Unseen ประจำจังหวัดกระบี่ “สระมรกต” ที่ควรแก่การไปสัมผัส

 

original-1399566764178

2683c65077621227cf5794b3e344726d

ถ้าคุณอยากหลีกหนีความวุ่นวาย แต่ท้องทะเลและภูเขาอาจฟังดูน่าเบื่อมากเกินไปแล้ว วันนี้จึงขอแนะนำคุณไปสัมผัสอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลอย่าง “สระมรกต” แห่งจังหวัดกระบี่ ที่เมื่อคุณได้เห็นแล้วต้องบอกเลยว่า มีน้ำใสๆ มีฟ้าสวยๆ แถมด้วยใบไม้เขียวๆ พร้อมให้นักท่องเที่ยวอย่างคุณได้เก็บเกี่ยวและสัมผัสความสุขได้อย่างเต็มปอด

 

204_11

1382974914-00P1010887-o

เมื่อเอ่ยถึงจังหวัดกระบี่ นอกจากจะมีชื่อเสียงของผืนน้ำทะเลที่สวยงามแล้ว คุณรู้หรือไม่ว่า สถานที่แห่งนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่น่าสนใจอีกที่หนึ่ง ซึ่งนั่นก็คือ “สระมรกต” ที่ตั้งอยู่ในอำเภอคลองท่อม โดย ณ เวลานี้สถานที่ดังกล่าวได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว Unseen ที่หลายๆ คนให้ความสนใจกันเป้นอย่างมาก ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะอย่างน้ำใสสีเขียวอมฟ้าใจกลางผืนป่า ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากธารน้ำอุ่นในผืนป่าที่ราบต่ำของภาคใต้

 

1382974731-00P1010882-o

 

สำหรับการเดินทางมายังสระมรกตแห่งนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าการปลอกเปลือกกล้วย เพราะถ้าคุณเดินทางมาจากตัวเมืองกระบี่แล้วให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ไปทางอำเภอเหนือคลองจนถึงอำเภอคลองท่อม เมื่อถึงแยกไฟแดงให้เลี้ยวซ้ายไปทางอำเภอลำทับ ให้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4038 แล้วมุ่งหน้าไปประมาณ 100 เมตร จากนั้นให้เลี้ยวขวาไปทางอำเภอคลองท่อมใต้-ทับไทร อีกประมาณ 17 กิโลเมตร ก็จะเห็นทางเข้าของสระมรกตแล้ว

Image

ff5

ff3

 

การที่จะเจอของดีแน่นอนว่า นั่งรถต่อเดียวคงง่ายเกินไปนิด ดังนั้น ธรรมชาติจึงสรรสร้างให้บรรดานักท่องเที่ยวจำเป็นต้องเดินเท้า เพื่อเข้าไปยังสระมรกตอีกประมาณ 800 เมตร หรือสามารถเลือกเดินศึกษาธรรมชาติที่มีระยะเดินประมาณ 2.7 กิดลเมตร แต่ก็จะมาบรรจบกันที่สระมรกตที่เดียวกัน โดยที่ตลอดเส้นทางเดินชมธรรมชาตินั้นจะเป็นป่าที่ร่มรื่นเขียวขจีเต็มไปด้วยพรรณไม้นานานพันธุ์ที่น่าสนใจ และยังเป็นแหล่งชมนกนานาชนิดที่หายาก เช่น นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเต็นสร้อยคำสีน้ำตาล เป็นต้น นอกจากนี้ตลอดสองฝั่งข้างทางยังมีสายน้ำที่ไหลผ่านชวนให้รับรู้ถึงความสดชื่น โดยก่อนที่จะไปถึงสระมรกตคุณสามารถพบกับสระแก้วที่มีน้ำใสสีเขียวเต็มไปด้วยพืชน้ำขึ้นอยู่ข้างใต้อย่างหนาแน่น

 

b23b1b6076473ce3a94ef713c32a4df7

หลังจากที่ย่ำเท้าสูดกลิ่นผืนป่าแบบเดินสบายกันมาหอมปากหอมคอแล้ว ก็ถึงคราวของสิ่งสำคัญที่คุณรอสัมผัสอย่าง สระมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำที่มีสีเขียวมรกตสมชื่อ โดยมีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างประมาณ 25 เมตร ยาว 20 เมตร และมีระดับความลึกราว 1.5 – 2 เมตร ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพราะคราบตะไคร่เขียวอี๋ หากแต่เป็นแบคทีเรียและสาหร่ายในน้ำซึ่งจะทำให้น้ำมีสีต่างๆ แตกต่างกัน โดยอุณหภูมิของน้ำจะอยู่ที่ 30 – 50 องศาเซลเซียส และนอกจากนั้นสายน้ำแร่ใต้ดินที่มีอยู่บริเวณนี้ยังทำให้สารแขวนลอยในน้ำตกตะกอน จึงทำให้น้ำมีความใสมากอีกด้วย ซึ่งถ้าเราเดินขึ้นไปอีกหน่อยก็จะเห็นต้นน้ำที่ไหลเป็นสายลงมารวมกันกลายเป็นสระมรกตแห่งนี้

 

03

ff1

 

 

นักท่องเที่ยวที่มาถึง สระมรกต แล้วนั้นสามารถลงเล่นน้ำได้อย่างสบายใจ เพราะไม่มีการสั่งห้ามลงสระ แต่เรื่องของอาหารการกินอาจต้องรับประทานกันให้เรียบร้อยมาเสียก่อน เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่อนุญาตให้นำอาหารเข้ามาทานในบริเวณนี้ด้วย เนื่องจากเศษขยะที่หลายคนนำติดมาด้วยนั้นอาจทำให้เกิดความเสียหายและทำให้ความสวยงดงามของสระมรกตแห่งนี้ลดน้อยลง

 

ความสวยสดใสของทะเลฝั่งอันดามันมันสวยงดงามเช่นไร ต้องบอกเลยว่า “สระมรกต” นั้นก็มีความใสสะอาดและสวยสดงดงามไม่แพ้กัน ซึ่งถ้าคุณกำลังเบื่อกับแสงแดงที่ร้อนแรง หรือความเหนียวเหนะจากเกลือและลมทะเลอยู่นั้น สระมรกตแห่งนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าท่องเที่ยวไม่ใช่น้อย และเมื่อไรที่คุณได้ไปสัมผัสด้วยตัวคุณเองคุณจะรู้ทันทีว่าโลกของเรานี้มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าอัศจรรย์ใจรอต้อนรับคุณอยู่ ขอแค่เพียงคุณได้ออกไปสัมผัสมัน

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

14 สิ่งน่าสนใจที่ช่วยเพิ่มสีสันให้กับการท่องเที่ยว

 

การท่องเที่ยวเปรียบเสมือนการได้พักผ่อนอย่างหนึ่ง แม้ว่าเส้นทางสู่จุดหมายปลายทางนั้นอาจไม่ได้สะดวกสบายเท่าไร แต่เชื่อว่านักท่องเที่ยวทุกคนคงสุขใจเมื่อได้ไปยืนอยู่ในที่ที่ใฝ่ฝันและอยากกลับไปเยือนอีกครั้ง แต่แทนที่จะปล่อยตัวปล่อยใจให้สบายและผ่อนคลายกับช่วงเวลาที่พักผ่อน ก็ยังคงมีบางเรื่องที่ทำให้คุณกังวลใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเช่นนั้นคุณลองทิ้งความเครียดและความกังวลทั้งหมดออกไป แล้วลองทำตามคำแนะนำของเวบไซต์ buzzfeed กันดูนะคะรับรองว่าจะทำให้การท่องเที่ยวมีสีสันและชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

 

01

1. ทุกวันก็สามารถเที่ยวได้ : คุณไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดยาวหรือวันหยุดสุดสัปดาห์เลย คุณสามารถผ่อนคลายตัวเองได้ด้วยการกิน การเที่ยว หรือแฮงก์เฮ้าท์ระหว่างวันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าหาดไม่ได้ทำให้การงานเสียหาย

 

2. กินยากเกินไป : ไปเยือนถิ่นนั้นๆ ทั้งที ทำไมไม่ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นบ้าง ถ้าคุณมัวแต่เลือกกินหรือสรรหาอาหารที่คุณชื่นชอบทุกมื้อแบบนี้รับรองว่าการพักผ่อนของคุณจะขาดสีสันอย่างแน่นอน

 

05

 

3. ไม่ต้องหาที่พักที่สวยหรู : คุณลองเปลี่ยนมาพักพวกโฮมสเตย์หรือกางเต็นท์นอนท่ามกลางป่าเขาบ้างก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบ และแถมยังมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยวกับผู้อื่นอีกด้วย

 

02

 

4. เรียนรู้ภาษาท้องถิ่น : ลองนึกถึงภาพเวลาที่คุณได้ยินคนต่างชาติพูกคำว่า “ซา หวัด ดี” แบบไม่ชัดสิคะ คุณคงอดอมยิ้มไม่ได้ คุณเองก็เช่นกันควรที่จะเรียนรู้ภาษาถิ่นง่ายๆ ไว้พูดบ้าง ซึ่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้แต่สามารถสร้างความประทับใจให้ผู้ได้ยินมากยิ่งขึ้น

 

5. ทักทายนักท่องเที่ยวด้วยกัน : ไม่ว่าคุณจะเดินทางไปที่แห่งใด เมื่อคุณได้พบกับน้องท่องเที่ยวคนอื่นๆ ก็ลองพูดคุยทักทายหรือซักถามได้ เพื่อผูกมิตรไมตรีกันไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว

 

03

 

6. หลงทางเรื่องสนุก : แม้ว่าคุณจะวางแผนมาอย่างดีแล้ว แต่คงต้องมีบ้างที่บางครั้งคุณหลงทางเพระไม่มีใครจำทางได้ดีอย่างเจ้าถิ่นอยู่แล้ว และก็ไม่เห็นต้องเครียดด้วยกับการหลงทาง เพราะบางทีการหลงทางของคุณอาจจะนำคุณไปพบกับสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ก็เป็นได้

 

7. ทำเรื่องสนุกที่ท้าทายบ้าง : คุณอาจจะดำน้ำชมหมู่ฝูงปลาปะการัง ปืนเขา หรือลองเล่นกระดานโต้คลื่นสักครั้งรับรองว่าการท่องเที่ยวนี้แจ่มกว่าเดิมอย่างแน่นอน

8. ส่องแสงสียามค่ำคืนในที่อื่นๆ : แม้คุณจะไม่ใช่คนที่ชอบดื่มหรือเที่ยวกลางคืนก็ตาม แต่การที่คุณได้ไปสัมผัสความคึกคักหรือดูให้เห็นกับตาว่าสถานที่นั้นๆ ในยามค่ำคืนเป็นอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายเลย

 

07

 

9. อยากทำอะไรก็ทำไปเลย : เมื่อได้ยินอาจดูเพี้ยนๆ ไปบ้าง แต่เชื่อสิว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่แสนสนุกสำหรับคุณอย่างแน่นอน เช่น แอ็คชั่นท่าทางที่ตลกๆ ในการถ่ายรูป หรือลองนั่งรถเมล์ของท้องถิ่นนั้นๆ รับรองว่าสิ่งที่คุณเห็นจะมีคุณค่ามากกว่าที่หนังสือหรือข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกเสียอีก และจะเป็นสิ่งที่คุณจะจดจำและนึกถึงไปอีกนานแสนนาน

 

10. กินอยู่อย่างประหยัด : สำหรับคนที่มีงบน้อยอยู่แล้วคงไม่ใช่เรื่องที่ยาก แต่สำหรับคนที่มีเงินเหลือเฟือที่จะซื้อของอะไรก็ได้นั้นก็ลองกินอยู่แบบพอดี หรือลิ้มลองรสอาหารถูกๆ บ้าง บางทีคุณอาจจะค้นพบเมนูโปรดจานใหม่ในแบบราคาสบายกระเป๋า

 

04

 

11. นอนดึกตื่นเช้า : สำหรับบางสถานที่อาจมีไฮไลท์เด็ดๆ ในยามค่ำคืน มีถนนคนเดิน มีแสงสีที่มาพร้อมกับดนตรีสด และแม้จะนอนดึกแค่ไหน ก็อย่านอนเพลินจนตะวันตกดินอดไปเที่ยวสัมผัสบรรยากาศดีๆ ในยามเช้ากันนะคะ เพราะเชื่อว่าการตื่นเช้านั้นจะทำให้คุณมีประสบการณ์ที่แปลกใหม่กลับไปอย่างเพียบเลย

 

12. พูดคุยกับคนแปลกหน้า : ไม่ใช่เรื่องที่เสียหายที่คุณจะเข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือสร้างมิตรภาพไว้ ทั้งนี้ก็ต้องดูให้ดีๆ ด้วยว่าเขาพร้อมที่จะเป็นมิตรกับคุณหรือเปล่า

 

13. วางแผนไว้แต่ไม่ต้องทำตามทุกอย่างก็ได้ : การวางแผนท่องเที่ยวเป็นเรื่องที่ดีและควรจะทำอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามตารางที่วางไว้ก็ได้ ซิกแซกหรือซอกแซกไปในที่ที่คุณอยากไปบ้างหรือทำอะไรที่นอกกรอกบ้าง แล้วจะยิ่งทำให้การท่องเที่ยวของคุณนั้นน่าสนุกและตื่นเต้นกว่าเดิม

 

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

 

14. มันอาจเป็นครั้งเดียวในชีวิตของคุณ : บางสถานที่ก็ไม่ใช่ที่จะเดินทางไปได้ง่ายๆ ไหนจะเรื่องเส้นทางที่แสนลำบากในการเข้าถึง รวมทั้งเรื่องงบประมาณด้วย ดังนั้นทำอะไรให้เต็มที่ไปเลย มาเที่ยวทั้งทีก็ต้องทิ้งความกังวลไว้ก่อนแล้วปล่อยตัวปล่อยใจให้สนุกสุดๆ ไปเลย เพื่อให้การท่องเที่ยวนั้นเต็มไปด้วยสีสันที่น่าจดจำ

 

ใครที่อยากท่องเที่ยวแบบเพิ่มสีสันให้กับชีวิต และไม่ต้องกลัวพลาดอะไรไปก็ลองนำทิปส์เหล่านี้ไปปรับใช้กันนะคะ เพราะมันอาจจะเป็นแค่ครั้งเดียวในชีวิตของคุณก็ได้กับสถานที่นั้นๆ

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

รวมเด็ด 7 น้ำตกสุดอลังการในประเทศไทยที่ต้องไปให้ได้สักครั้ง

 

สำหรับช่วงนี้หลายท่านคงได้สัมผัสกับอากาศที่ร้อนอบอ้าว เชื่อว่านักท่องเที่ยวหลายท่านคงกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยคลายร้อนกันอยู่ ซึ่งนอกจากทะเลน้ำใสดั่งกระจกแล้วนั้น วันนี้ “น้ำตก” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับการคลายร้อนได้เช่นกัน วันนี้จึงได้รวบรวมน้ำตกเด็ดทั้ง 7 แห่งที่ได้รับการกล่าวขานว่างดงามและอลังการที่สุดในประเทศไทยมาฝากกันค่ะ เผื่อเป็นตัวเลือกให้สำหรับการผ่อนพักคลายร้อนกันค่ะ ลองไปชมกันได้เลยค่ะ

 

1--1

1--2

1. น้ำตกโตนงาช้าง จ.สงขลา

ตั้งอยู่ภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง ถือได้ว่าเป็นน้ำตกที่มีความสวยงดงามและมีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งของภาคใต้ และจังหวัดสงขลา เลยทีเดียว น้ำตกโตนงาช้างแห่งนี้มีทั้งหมด 7 ชั้น โดยที่ชั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ โตนงาช้างชั้นที่ 3 เพราะมีสายน้ำตกแยกออกเป็นสองสายคล้ายงาช้าง และนอกจากนี้ยังมีทางเดินไว้สำหรับศึกษาธรรมชาติและเที่ยวชมน้ำตกในชั้นต่างๆ อีกด้วย ซึ่งน้ำตกโตนงาช้างนี้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ได้แก่ ชั้นที่ 1 โตนบ่า, ชั้นที่ 2 โตนปลิว, ชั้นที่ 3 โตนงาช้าง, ชั้นที่ 4 โตนดำ, ชั้นที่ 5 โตนน้ำปล่อย, ชั้นที่ 6 โตนฤาษีคอยบ่อ และชั้นสุดท้ายชั้นที่ 7 โตนเหม็ดชุน หากนักท่องเที่ยวสนใจที่จะคลายร้อนที่น้ำตกนั้น น้ำตกโตนงาช้างจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอีกสถานที่หนึ่งกันเลยทีเดียว

 

2--1

2--2

2. น้ำตกแม่เตี๊ยะ จ.เชียงใหม่

น้ำตกที่มีความสวยงดงามและอลังการอีกแห่งหนึ่งของภาคเหนือ น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่อยู่ในบริเวณกลางป่าลึกในห้วยแม่เตี๊ยะตอนกลาง ตำบลดอยแก้ว อำเภอจองทอง จังหวัดเชียงใหม่ มีลักษณะเป็นน้ำตกที่สูงใหญ่และสวยงดงามที่สุดในอุทยานแห่งชาติออบหลวง โดยที่น้ำตกแห่งนี้มีหน้าผาสองชั้นติดต่อกัน มีน้ำตลอดปี จึงทำให้มีความงดงามของน้ำตกตลอดทั้งปี นอกจากนี้น้ำตกแห่งนี้เหมาะสำหรับศึกษาธรรมชาติเป็นอย่างนี้ เนื่องจากบริเวณนี้เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั้งพืชพรรณ ป่าไม้ที่ถือได้ว่าเป็นป่าต้นน้ำรวมถึงสัตว์ที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ อาทิเช่น นก เป็นต้น

 

3--1

3--2

3--3

3. น้ำตกทีลอซู จ.ตาก

น้ำตกทีลอซู มาจากภาษากะเหรี่ยง มีความหมายว่า “น้ำตกดำ” หรือ “น้ำตกที่ยิ่งใหญ่” ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง มีลักษณะเป็นน้ำตกเขาหินปูนขนาดใหญ่เกิดจากลำน้ำห้วยกล้อท้อทั้งสายที่ไหลแผ่ปกคลุมพื้นที่หน้าผาก่อนที่จะทะยานลงสู่หน้าสูงชันที่ลดหลั่นกันเป็นชั้นๆ ปัจจุบันน้ำตกทีลอซูแห่งนี้ถือว่าเป็นน้ำตกที่มีความยิ่งใหญ่และสวยงดงามที่สุดในประเทศไทย ด้วยน้ำที่ใสสะอาด โดยเฉพาะในฤดูฝนนับได้ว่าเป็นช่วงที่น้ำตกสวยที่สุด

 

4--1

4--2

4. น้ำตกปิตุ๊โกร จ.ตาก

น้ำตกปิตุ๊โกร หรือ ปิตุ๊โกรลอซู มาจากภาษากะเหรี่ยงว่า “ปิ๊ตุ๊โกร” หรือบ้างก็เรียกว่า “ปิ๊ตุ๊ลอซู” หรือ “เปรโต๊ะลอซู” น้ำตกแห่งนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขาดอยสามหมื่น อำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ถือได้ว่าเป็นน้ำตกแห่งหนึ่งที่มีความสวยงาม และเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยน้ำตกปิตุ๊โกรมีลักษณะเป็นสายน้ำที่ไหลผ่านหน้าผาหินขนาดใหญ่ และชั้นที่เป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดก็คือ ชั้นน้ำตกที่ไหลรวมกันจากด้านขวาและด้านซ้ายเป็นรูปตัววีขนาดใหญ่ จนเกิดเป็นม่านสีขาวเมื่อมองดูแล้วจะมีลักษณะคล้ายรูปหัวใจ นับว่าเป็นน้ำตกที่สวยและงดงามมากๆ อีกแห่งหนึ่ง

 

5--1

5--2

5. น้ำตกห้วยใหญ่ จ.นครราชสีมา

น้ำตกห้วยใหญ่ ถือว่าเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สมกับชื่อ ตั้งอยู่ในส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติทับลาน อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา มีลักษณะเป็นน้ำตกทั้งหมด 5 ชั้น ที่เชื่อมต่อกับน้ำตกสวนห้อม ตำบลวังน้ำเขียว ซึ่งน้ำตกห้วยใหญ่นี้จะมีน้ำมากในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคมของทุกปี นับได้ว่าเป็นน้ำตกอีกแห่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่และสวยงดงามมากเหมาะแก่การคลายร้อนในฤดูร้อนๆ แบบนี้

 

6--1

6--2

6. น้ำตกโกรกอีดก จ.สระบุรี

น้ำตกโกรกอีดก มาจากภาษาท้องถิ่นที่เรียกตามภูมิศาสตร์ของภูเขาโดยรอบที่มีมากมายหลายเทือกเขา ซึ่งคำว่า “โกรก” มาจาก “ภูเขา” และ “ดก” มาจาก “เยอะ” ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกน้ำตกแห่งนี้ว่า “โกรกอีดก” โดยน้ำตกแห่งนี้มีลักษณะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงดงามแบ่งออกเป็น 8 ชั้น และนักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมน้ำตกได้ทุกชั้น โดยเฉพาะชั้นที่ 6 และชั้นที่ 7 นั้น ได้ที่รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นชั้นที่สวยงามกว่าชั้นอื่นๆ

 

7--1

7--2

7--3

7. น้ำตกไทรโยคน้อย จ.กาญจนบุรี

“น้ำตกไทรโยคน้อย” หรือ “น้ำตกเขาพัง” ตั้งอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ซึ่งเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงมาช้านาน เหตุที่ได้รับการเรียกชื่อว่า น้ำตกเขาพัง นั้นเนื่องจากน้ำตกแห่งนี้เกิดขึ้นบนหน้าผาหินปูนที่พังทลายลามาจนเกิดเป็นโขดหินปูนที่ลดหลั่นลงมาอยู่บริเวณเชิงเขา โดยที่ต้นกำเนิดของสายน้ำนี้เกิดจากน้ำที่ผุดจากภูเขาแล้วไหลมาเรื่อยๆ ตามลำธารเล็กๆ จึงไหลตกลงมาที่ผาหินปูนแล้วแผ่กระจายไปตามพื้นที่เขาที่ลาดเอียงภายใต้ร่มเงาของพันธุ์ไม้นานาชนิด ซึ่งสวยงดงามเกินคำบรรยาย รวมไปถึงบรรยากาศ อากาศที่แสนสบายสดชื่น และนอกจากนี้ในลำธารก็ยังมีต้นกกขึ้นอยู่กระจัดกระจาย บรรยากาศโดยรวมของน้ำตกไทรโยคแห่งนี้ถือว่าเป็นที่น่าประทับใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาลในทุกๆ ปี เหมาะสำหรับการคลายร้อนเป็นอย่างยิ่ง

 

นับได้ว่าน้ำตกเด็ดทั้ง  7 แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่สำหรับคลายความร้อนจากอากาศได้ดีทีเดียว หากช่วงใดที่เบื่อน้ำทะเลแล้วก็อย่าลืมลองเลือกน้ำตกสักที่แล้วแวะไปเที่ยวกันนะคะ

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com

7 สถานที่ท่องเที่ยวควรค่าแก่การไปเยือนในเมืองไทย

 

 01--1

01--2

1. หมู่เกาะรัง จ.ตราด

หมู่เกาะรัง เป็นบริเวณที่มีปะการังสวยงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของทะเลจังหวัดตราด และที่สำคัญยังเป็นแนวปะการังน้ำตื้นที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกด้วย จนหนังสือเกี่ยวกับการดำน้ำของอเมริกายกให้หมู่เกาะรังติด 1 ใบ 5 ของแหล่งดำน้ำโลกมาแล้วด้วย นอกจากนี้ยังมีเกาะยักษ์ใหญ่ และเกาะยักษ์เล็ก ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน ซึ่งทั้ง 2 เกาะนี้ก็อยู่ในหมู่เกาะรังเหมาะแก่การไปดำน้ำด้วยเช่นกัน

 

02--1

02--2

2. แก่งชมดาว จ.อุบลราชธานี

แก่งชมดาว ตั้งอยู่ที่ อ.นาตาล จ.อุบลราชธานี เป็นแก่งหินที่ถูกกัดเซาะโดยน้ำวนจนเกิดเป็นผาหินและแอ่งหลุมรูปทรงแปลกตา ซึ่งจะมีน้ำสีเขียวใสปรากฏให้เห็นอยู่ตลอด และไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของแก่งชมดาวแห่งนี้อยู่ที่ช่วงยามเช้าและช่วงโพล้เพล้ เพราะแสงจะสวยงามมากๆ โดยเฉพาะเดือนมกราคม – เดือนมิถุนายน แนะนำให้มาท่องเที่ยว

 

03--1

03--2

3. ลานสกา จ.นครศรีธรรมราช

ลานสกา เป็นดินแดนที่ได้รับสมญานามว่ามี อากาศดีที่สุดในประเทศไทย โดยที่ลานสกานี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่น่าไปสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง และจุดที่อากาศดีที่สุดของสานสกานั้นตั้งอยู่ ณ บริเวณหมู่บ้านคีรีวง และเป็นเรื่องน่าทึ่งอย่างมากสำหรับบริเวณนี้ เพราะปกติแล้วเกณฑ์มาตรฐานอากาศที่ดี ต้องมีสิ่งแปลกปลอมไม่เกิน 300 ไมครอนต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร แต่ที่หมู่บ้านคีรีวง ลานสกา แห่งนี้กลับพบว่ามีสิ่งแปลกปลอมเพียง 9 ไมครอนต่ออากาศ 1 ลูกบาศก์เมตร เท่านั้นเอง ซึ่งมีอากาศที่บริสุทธิ์กว่ามาตรฐานถึง 100 เท่าเลยทีเดียว จึงได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมชมและสูดอากาศที่ดีที่สุดของประเทศไทยอีกด้วย

 

04--1

04--2

4. ดอยเสมอดาว จ.น่าน

ดอยเสมอดาว นับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่กางเต้นท์พักแรมยอดฮิตอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน ด้วยดอยเสมอดาวแห่งนี้เป็นจุดชมวิวที่มีพื้นที่เป็นลานกว้างตามสันเขา จึงทำให้เหมาะสำหรับการพักผ่อน นอนดูดาว และชมทะเลหมอกพร้อมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าเป็นอย่างมาก

 

05--1

05--2

5. เกาะไม้ท่อน จ.ภูเก็ต

เกาะสวรรค์เล็กๆ แห่งใหม่หลังจากที่ถูกปิดนานนับสิบปี เกาะไม้ท่อนแห่งนี้เป็นเกาะส่วนตัวที่แสนเงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อน จนได้รับสมญานามว่า Honeymoon Private Island เหมาะสำหรับคู่รักอย่างยิ่ง ด้วยน้ำทะเลใสบริสุทธิ์ดั่งกระจก และความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติรอบๆ เกาะรวมไปถึงสัตว์น้ำนานาพันธุ์ใต้ผืนน้ำที่รอแหวกว่ายต้อนรับผู้มาเยือนเกาะแห่งนี้ รับรองได้ว่าใครที่ได้ไปสัมผัสแล้วจะติดใจจนไม่อยากบ้านกันเลย

 

06--1

06--2

6. น้ำตกถ้ำพระภูวัว จ.บึงกาฬ

น้ำตกถ้ำพระ หรือชื่อเต็มๆ ว่า น้ำตกถ้ำพระภูวัว ตั้งอยู่ระหว่างรอยต่อของอำเภอเซกา กับอำเภอบึงโขงหลง น้ำตกที่มีความสวยงดงามมากๆ น้ำที่ไหลลงมาตามชั้นหินสีเทาสลับกับสีน้ำตาลที่ลดหลั่นกันลงมาบริเวณลานกว้าง และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ยังคงอยู่ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำกันเป็นจำนวน เพราะจากน้ำตกแห่งนี้มีด้วยกันถึง 3 ชั้นนั้นเอง โดยเฉพาะในชั้นที่ 2 จะมีลานกว้างไว้ชมดอกไม้ป่านานาพันธุ์ที่ผลิดอกออกช่ออย่าสวยสดงดงามต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกท่าน

 

07--1

07--2

7. ดอยเมี่ยง จ.แม่ฮ่องสอน

ดอยเมี่ยง แห่งเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นดอยสูงประมาณ 1,600 เมตร ลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าดิบชื้นและมีภูเขาสลับซับซ้อน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้นานาพันธุ์ เช่น ต้นพญาเสือโคร่ง ต้นมะค่า และต้นสน รวมไปถึงมีจุดชมวิวที่สวยงดงาม สามารถมองเห็นเมืองปายได้แบบ 360 องศา บวกกับมีอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี จึงทำให้ดอยเมี่ยงแห่งนี้เป็นเสมือนสวรรค์แห่งใหม่ของเมืองปายไปโดยปริยาย และที่สำคัญดอยเมี่ยงยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

 

เรียบเรียงโดย  www.hotelandresortthailand.com