ทริปสั้นๆ แต่สุขใจไปอีกยาว @“โก๋ เมืองกาญจน์ พาราไดซ์ วิว รีสอร์ท”

🌧 เริ่มฤดูกาลปลายฝนต้นหนาวกันแล้ว เลยหาเรื่องเที่ยวพักผ่อนสัมผัสธรรมชาติชื้นๆ กับลมเย็นนิดๆให้พอหนาวกาย นั่งชมไอหมอกยามเช้า นึกขึ้นได้ว่า “โก๋ เมืองกาญจน์ พาราไดซ์ วิว รีสอร์ท” นี่แหละตอบโจทย์สุดๆ ทั้งธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งบรรยากาศดี และไม่ไกลจากกรุงเทพฯอีกด้วย ว่ากันแล้วก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ามุ่งตรงไปที่จังหวัดกาญจนบุรีกันเลย ไปครั้งนี้ถ้าเดินทางคนเดียวคงจะเหงาแย่ เลยพกแก๊ง Hotelandresort ไปด้วยกันเลย

เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ มุ่งตรงไปที่ “โก๋ เมืองกาญจน์ พาราไดซ์ วิว รีสอร์ท” ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชั่วโมง แต่เชื่อว่าเป็นการเดินทางที่คุ้มค่ามาก เมื่อไปถึงที่รีสอร์ทต้องร้องว้าว เพราะบรรยากาศที่นี่ให้อารมณ์แบบธรรมชาติจริงๆ รีสอร์ทโอบล้อมด้วยภูเขาสูงใหญ่ มีสายน้ำจากแม่น้ำแควไหลผ่าน พวกเรายังคิดกันว่าโชคดีจังที่ได้มาพักที่นี่

พอมาถึงก็เช็คอินเข้าห้องพักกันก่อนเลย สำหรับห้องพักของพวกเราวันนี้จะเป็นแพพักริมน้ำ ซึ่งจะต้องเดินลงไปข้างล่าง และระหว่างทางเดินลงมีที่เขียนป้ายไม้สุดคลาสสิคไว้เป็นที่ระลึก เห็นแล้วก็รู้เก๋ไปอีกแบบ

และแล้วเราก็มาถึงห้องพัก เมื่อไขกุญแจห้องและเปิดประตูเข้าไปก็ต้องร้องว้าวเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเห็นสายน้ำไหลผ่าน และธรรมชาติจากทางหน้าห้อง มันช่างสวยจริงๆเลย ขนาดห้องกำลังพอเหมาะ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเตียงใหญ่ ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ และห้องน้ำในตัว พร้อมฝักบัวแบบ rain shower เครื่องทำน้ำอุ่น และไฮไลท์ของห้องนี้คงจะเป็นระเบียงด้านหน้า มีเตียงขนาดพอดีสำหรับนอนเล่น เก้าอี้ และโต๊ะ สำหรับนั่งชิลๆ ดูแม่น้ำไหลผ่าน สูดกลิ่นไอธรรมชาติเพลินๆกันไปเลย

ทางรีสอร์ทใจดีให้ไปดูห้องพักโซนอื่นๆด้วยนะคะ เริ่มด้วยแพริมน้ำแบบครอบครัว พักได้ 4 ท่านค่ะ

ส่วนอีกโซนจะชื่อบ้านริมผา ตั้งอยู่ด้านบนฝั่ง พักได้ทั้งหมด 4 ท่าน จากบ้านพักสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำไหลผ่าน เหมาะสำหรับการมาพักแบบครอบครัวค่ะ

ชื่นชมห้องพักกันได้สักพัก พวกเราก็ต้องไปลุยกิจกรรมต่างๆของทางรีสอร์ท เริ่มต้นด้วยล่องแพเปียก เป็นกิจกรรมที่สนุกมากๆ เปียกสมชื่อจริงๆค่ะ เรียกน้ำย่อยความสนุกได้ดีทีเดียว ก่อนไปล่องแพเปียกต้องสวมเสื้อชูชีพกันทุกคนนะคะ

เมื่อแพเริ่มเคลื่อนพวกเราทุกคนเริ่มสนุก มีน้ำไหลผ่านแพที่พวกเรานั่งทำให้น้ำพุ่งออกมาตามซอกแพ เปียกกันถ้วนหน้าเลยเจ้าค่ะ

บรรยากาศเบื้องหน้าเป็นภูเขาสูงใหญ่ ท้องฟ้าโปร่งใส

ทุกคนเลยลองลุกขึ้นยืนในขณะที่แพวิ่งไปข้างหน้า ให้อารมณ์ตื่นเต้นไปอีกแบบ เพราะไม่รู้จะตกแพกันตอนไหน 555

เค้าจะนำแพของเราไปวนเกาะเล็กๆ ซึ่งอยู่กลางน้ำ ไม่ไกลจากรีสอร์ทเลย พวกเราร้องขอลงไปเกาะเล็กๆนั่น

บนเกาะเล็กๆ เป็นหินที่ถูกถมกันจนเป็นเกาะกลางน้ำ เมื่อไปยืนบนเกาะ พวกเราเหมือนคนเล็กๆคนนึงเลยค่ะ

เสร็จจากเกาะกลางน้ำ ก็นั่งแพกลับไปที่รีสอร์ท แต่ความสนุกยังไม่หมดเท่านี้นะคะ ทางรีสอร์ทใจดีนำแพใหญ่ของทางรีสอร์ท พาพวกเราล่องแพชมธรรมชาติ

ภายในแพใหญ่จะมีเก้าอี้ และโต๊ะสำหรับนั่งเล่น จัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย มีห้องน้ำอีกด้วยนะคะ

เมื่อแพเริ่มเคลื่อนทุกคนรีบหยิบโทรศัพท์มาเซลฟี่กันใหญ่ เพราะบรรยากาศรอบข้างสวยด้วยธรรมชาติเกินคำบรรยาย จนต้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำ

หลังจากนั้นทุกคนเริ่มหาจับจองที่นั่ง เพื่อนั่งชมธรรมชาติไปเรื่อยๆ

แพใหญ่นั้นพาเราไปถึงใกล้ๆกับช่องเขาขาด และหันหัวกลับไปที่รีสอร์ท

ระหว่างทางกลับนั้นจะผ่านน้ำตกเล็กๆ มีความสวยงามไปอีกแบบ ทุกคนหยิบมือถือมาถ่ายรูปรัวๆ

ล่องแพชมธรรมชาติขอบอกว่า ถ้ามาพักที่นี่ต้องมานั่งเลยนะคะ ธรรมชาติสองข้างทางระหว่างไปคือดีจริงๆค่ะ

และเมื่อกลับมาถึงรีสอร์ท ตัวพวกเราก็เปียกกันแล้ว เลยรีบวิ่งตรงไปที่จุดเล่นน้ำที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ค่ะ (ต้องใส่เสื้อชูชีพเล่นน้ำด้วยนะคะ เพื่อความปลอดภัยของตัวเราค่ะ)

จุดเล่นน้ำ จะมีสไลเดอร์สีฟ้าขนาดพอดี ให้เราได้เล่นอย่างสนุกสนาน สำหรับตัวเราเองเล่นไป 4 รอบ สนุกมากๆค่ะ

มีห่วงยาง และแผ่นยางสีดำให้ได้ปีนขึ้นไปนั่งด้วยนะคะ ปีนกว่าจะขึ้นแอบเมื่อยเหมือนกัน 555

สายน้ำที่นี่ค่อนข้างไหลแรง ถ้ามีเด็กๆมาด้วยแนะนำให้ดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ

เล่นกันพอสนุก เผลอแปปเดียวก็ 18.00 น. เย็นมากๆแล้ว (ทางรีสอร์ทให้ลงเล่นน้ำถึง 18.00 น. นะคะ เผื่อความปลอดภัยของตัวเราเองค่ะ) พวกเราก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัว และไปรับประทานอาหารเย็นที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้ค่ะ

มาแล้วมื้อเย็นของเรา มื้อเย็นของรีสอร์ทสำหรับลูกค้าที่จองกับทางรีสอร์ทจะรวมมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วค่ะ อยากจะบอกว่าหิวมากๆ เห็นอะไรน่าทานไปหมด สงสัยจะหมดพลังไปเยอะ

มาดูหน้าตามื้อเย็นของเรา เริ่มต้นด้วยต้มจืดฟักใส่กระดูกหมูและเห็ด กระดูกหมูเปื่อยกำลังดี รสชาติซดแล้วโล่งคอเลยค่ะ

มัสมั่นไก่ ไก่นุ่มลิ้นหอมกลิ่นเครื่องเทศมากค่ะ

ผัดพริกหยวกใส่ไก่ รสชาติกำลังดี ไม่เผ็ดจนเกินไป

ปลาราดพริก เนื้อปลาชิ้นกำลังดีราดซอสหวานอมเปรี้ยว เผ็ดน้อยๆ คนไม่ทานเผ็ดยังบอกว่าอร่อยค่ะ

ผัดกะหล่ำปลีน้ำปลา รสชาติพอดี กะหล่ำปลีสดกรอบ ยกนิ้วให้เลยค่ะ

น้ำพริกเผาผสมกากหมู เมนูนี้ให้ความเผ็ดแซ่บถึงใจ มีผักแกล้มให้ด้วย กินกันเพลินเลยค่ะ และท้ายสุดมีผลไม้ไว้เตรียมให้ นั่นคือส้มโอนั่นเอง

เมื่อพวกเราทุกคนอิ่มแล้ว แอบเหลือบไปเห็นบาร์เล็กๆ จึงสั่งเหล้าปั่นมานั่งกินกัน

มาแล้วๆ แก้วใหญ่มาก แต่สุดท้ายก็หมดนะคะ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เพื่อลุยต่ออีกทีพรุ่งนี้เช้า

ตัวเราเองตั้งนาฬิกาปลุกไว้ 07.00 น. พอนาฬิกาดังปุ๊บรีบเด้งตัวออกจากที่นอนเปิดประตูตรงระเบียง แล้วก็ต้องร้องว้าวเป็นครั้งที่ 3 บรรยากาศเย็นกำลังดี ภูเขาสูงๆที่เราเห็นเมื่อวานนี้กับหายไป เพราะมีหมอกหนามาบดบังแทน บรรยากาศเช้านี้ดีจริงๆ อยากหยุดเวลาตรงนี้ไว้เลยค่ะ

หลังจากแปรงฟัน ล้างหน้าแล้ว เราก็ออกไปทานอาหารเช้า เวลาทานอาหารเช้าคือ 07.30 น. – 08.30 น. นะคะ ที่รับประทานอาหาเช้า ก็คือที่เดิม เพิ่มเติมคือบรรยากาศที่ใช่เลยค่ะ

มาดูเมนูอาหารเช้ากันบ้าง เริ่มต้นด้วย ข้าวผัดไก่ รสชาติอร่อยกำลังดี เหมาะสำหรับมื้อเช้ามากค่ะ ข้าวต้มหมูร้อนๆ ทุกคนออกปากชมว่าอร่อยจริงๆ ตักกันคนละชาม สองชามเลยค่ะ ขนมปังปิ้ง มีเนยและแยมสตอเบอรี่ ไว้ให้ทากับขนมปังด้วยนะคะ มีกาแฟและโอวัลตินร้อนๆ ไว้บริการด้วยนะคะ และน้ำส้มหวานชื่นใจอีกด้วยค่ะ

หลังจากเติมพลังกันอิ่มแล้ว เตรียมตัวเพื่อไปลุยกิจกรรมกันต่อเลย กิจกรรมที่เราจะทำเป็นอันสุดท้ายนั้นคือพายเรือคายัค โดยมีรถกระบะมารับเราไปยังจุดที่เราต้องเริ่มพาย ไกลจากทางรีสอร์ทค่อนข้างมากนะคะ

ระหว่างทางไปที่จุดพายเรือ สองข้างทางมีภูเขาโอบล้อมมีหมอกปกคลุม สวยจนมองข้างทางเพลินไปเลยค่ะ

ก่อนจะพายเรือ เจ้าหน้าที่จะพาเราไปสวมเสื้อชูชีพ และหมวก พร้อมแนะนำการพายเรือ และเล่าถึงประวัติของแม่น้ำแคว เจ้าหน้าที่น่ารักมากค่ะ ให้ความรู้และความสนุกกับพวกเราค่ะ

เมื่อถึงจุดพายเรือเพิ่งจะรู้ว่า ระยะทางที่เราต้องพายเรือนั้นระยะทางเกือบ 10 กิโลเมตร ตอนแรกก็ถอดใจค่ะ แต่เห็นแม่น้ำกว้างใหญ่ กับธรรมชาติล้วนๆ ใจก็สู้ขึ้นมาเลยค่ะ

ระหว่างทางที่เราพายเรือ ธรรมชาติสองข้างทางสวยจนเกินบรรยาย

พายไปได้สักพัก แต่ก็เกือบสองชั่วโมง ก็ถึงจุดหมายปลายทางของเราแล้วค่ะ เป็นการพายเรือที่คุ้มค่าจริงๆค่ะ ได้ออกกำลังกายไปในตัวด้วย สำหรับตัวเราเองเพิ่งได้พายครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด มีเจ้าหน้าที่คอยดูแล และพายไปกับเราด้วย สำหรับคนที่ชอบชมธรรมชาติแนะนำกิจกรรมนี้เลยนะคะ

เมื่อกลับถึงรีสอร์ทก็ต้องเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯแล้ว ในใจไม่อยากกลับเลย อยากอยู่ต่ออีกวันสองวัน การได้มาพักผ่อนที่ “โก๋ เมืองกาญจน์ พาราไดซ์ วิว รีสอร์ท” พวกเราทุกคนต่างพูดกันว่า คุ้มค่ามากๆ ทั้งบรรยากาศของรีสอร์ท และธรรมชาติรอบๆรีสอร์ท ทำให้พวกเราได้มาชาร์จแบตร่างกายได้เต็มอิ่ม พร้อมที่จะกลับไปลุยกับวันต่อๆไป พนักงานที่นี่ต้อนรับเราแบบอบอุ่นมากๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสบริการดีเยี่ยม หากใครกำลังมองหาที่พักแบบธรรมชาติจริง ไม่ต้องเดินทางไกล ลองไปที่ “โก๋ เมืองกาญจน์ พาราไดซ์ วิว รีสอร์ท” แล้วจะร้องว้าวถึง 3 ครั้ง แบบพวกเราเลยค่ะ

» เรียบเรียงโดย www.hotelandresortthailand.com